จากที่มีข่าวว่า Anders Wiklöf มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวฟินแลนด์ เจอค่าปรับจราจรในข้อหาขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด เป็นเงินสูงถึง 121,000 ยูโร หรือราว 4.5 ล้านบาท ซึ่งเขาขับรถเร็วในเขตเมืองที่จำกัดไม่ให้ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเขาใช้ความเร็วที่ 82 กม./ชม. ในเขตจำกัดความเร็ว 50 กม./ชม. จนเป็นเหตุให้ตำรวจสั่งหยุดรถของเขาโดยทันที
ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่โดนค่าปรับจราจรมากที่สุดในโลก รองจากนักธุรกิจชาวสวิสคนหนึ่งที่ขับรถ Ferrari Testarossa ของเขาด้วยความเร็ว 136 กม./ชม. ในเขตจำกัดความเร็วแค่ 80 กม./ชม. ในย่านเซนต์กัลเลน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ส่งผลให้เขาถูกปรับเงินเป็นจำนวน 290,000 ยูโร หรือ 8.7 ล้านบาท ซึ่งอีกเหตุผลที่ทำให้ค่าปรับของเขาสูงขนาดนี้เนื่องจากเขากระทำความผิดซ้ำนั่นเอง
ประเทศในกลุ่มยูโรโซนโดยเฉพาะกลุ่มประเทศในแถบนอร์ดิก มีระบบการคำนวณค่าปรับที่แตกต่างจากประเทศไทย ซึ่งเรียกว่าระบบ “Day Fine” หรือ “ค่าปรับรายวัน” ที่จะะคํานวณตามรายได้สุทธิต่อรายวันของผู้กระทําความผิด ซึ่งโดยทั่วไปจะถือว่าเป็นรายได้สุทธิครึ่งหนึ่งของรายได้รายวัน หากว่าผู้ขับขี่เกินขีดจํากัดความเร็วตามกฎหมายมากเท่าไหร่ จํานวนค่าปรับรายวันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งผู้กระทำความผิดมีรายได้สูง ค่าปรับก็จะสูงตามรายได้
โดยฟินแลนด์เป็นประเทศแรกของโลกที่ใช้ระบบนี้ นอกจากนี้ก็มีบางประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียอย่างสวีเดนก็นำมาใช้เช่นกัน เพราะค่อนข้างมีประสิทธิภาพมากในการจัดการกับปัญหาผู้ละเมิดกฎจราจา และมีอีกหลายๆ ประเทศนำไปใช้ เช่น เดนมาร์ก เยอรมนี สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และ มาเก๊า
โดยมีระบบการคิดค่าปรับ Day Fine แบบเข้าใจง่ายๆ 3 ขั้นตอน คือ
1. คุณมีรายได้เท่าไหร่ : ศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่า คุณมีรายได้ต่อวันเท่าไหร่ หักรายจ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพแล้วเหลือเท่าไหร่ หากคุณเป็นคนรวย มีรายได้เยอะ ค่าปรับก็จะเยอะตามไปได้
2. ปรับทั้งหมดกี่วัน : หากคุณทำผิดไม่ร้ายแรง จำนวนวันที่ปรับก็จะน้อย หากคุณทำผิดร้ายแรง จำนวนวันที่ปรับก็จะเยอะ โดยความร้ายแรงก็ผันแปรตามความเร็วที่คุณขับ ยิ่งขับเกินกำหนดไปเยอะก็ยิ่งร้ายแรงมากเท่านั้น
3. จำนวนค่าปรับทั้งหมด : ตัวอย่างเช่น A มีรายได้ 1,000 บาทต่อวัน ศาลพิจารณาแล้วว่าค่าต่อวันคือ 500 บาท และ A โดนปรับทั้งหมด 10 วัน แสดงว่า A จะถูกปรับทั้งหมด 5,000 บาท ในขณะที่ B โดนในข้อหาเดียวกันเป๊ะ ๆ แต่ B มีรายได้ 500 บาทต่อวัน ศาลพิจารณาค่าปรับต่อวันคือ 250 บาท และ B ก็โดนปรับ 10 วัน ดังนั้น B จะโดนปรับเพียง 2,500 บาทเท่านั้น
เป็นเรื่องปกติในภูมิภาคนอร์ดิกค่าปรับสําหรับการละเมิดการจราจรในฟินแลนด์ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความผิดและรายได้ของผู้กระทําความผิดซึ่งตํารวจสามารถตรวจสอบได้ทันทีโดยเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟนกับฐานข้อมูลผู้เสียภาษีส่วนกลาง ฉะนั้นจะทราบได้ทันทีว่าบุคคลนั้นๆ มีรายได้เท่าไหร่ เสียภาษีเท่าไหร่ และคำนวณออกมาแล้วจะต้องจ่ายค่าปรับเท่าไหร่
ทั้งนี้ ฟินแลนด์ใช้ระบบปรับรายวันมาตั้งแต่ปี 1921 การละเมิดความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่วนใหญ่จะถูกลงโทษด้วยค่าปรับเล็กน้อย ซึ่งค่าปรับในฟินแลนด์เริ่มต้นที่ขั้นต่ำ 1 วัน สูงสุดไม่เกิน 120 วัน แต่ถ้าหากมีหลายข้อหาถูกลงโทษร่วมกันอาจมีโทษปรับ 240 วัน โทษปรับไม่อาจพิพากษาร่วมกับโทษจําคุกได้ เว้นแต่จะถูกพิษากษาให้มีโทษจําคุกถึงจะต้องจําคุกด้วย จํานวนเงินขั้นต่ำของค่าปรับรายวันคือ 6 ยูโร โดยปกติค่าปรับรายวันคือครึ่งหนึ่งของรายได้สุทธิรายวัน หลังจากหักภาษี การจ่ายเงินประกันสังคม และค่าครองชีพขั้นพื้นฐานที่ 255 ยูโรต่อเดือน
