ความขัดแย้งระลอกใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธที่มีฐานที่มั่นอยู่ในดินแดนของปาเลสไตน์กับอิสราเอล ซึ่งทั้งสองชนชาตินับว่ามีเหตุปะทะกันมาอย่างต่อเนื่องตลอด 75 ปี นับตั้งแต่ที่ชาวยิวประกาศตั้งดินแดนเล็กๆ ติดกับคาบสมุทรไซนายของประเทศอียิปต์ ที่ปัจจุบันมีพื้นที่ขนาด 22,145 ตร.กม.ให้เป็นรัฐของคนยิวที่ชื่อว่า “อิสราเอล” เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1948


และหลังจากนั้นดินแดนที่มีความเชื่อว่าเป็นพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ของทั้ง 3 ศาสนาอันได้แก่ ศาสนาคริสต์ อิสลาม และยูดาห์ ก็ไม่มีความสงบสุขมาตลอดระยะเวลา 75 ปี เพราะตามมาด้วยการก่อสงคราม การปะทะกันระหว่างชาติอาหรับ ปาเลสไตน์ และอิสราเอลต่อเนื่องยาวนาน จนถึงปัจจุบันกับเหตุการณ์ที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีใส่อิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา นับเป็นการปะทะกันอีกครั้งหลังจากห่างหายมาถึง 2 ปี จนล่าสุดมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งสองฝ่ายหลายพันคน และมีคนไทยที่เดินทางไปทำงานได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และถูกจับกุมเป็นตัวประกันอีกด้วย


หากจะค้นหาจุดเริ่มต้นของปมขัดแย้งระหว่างสองชนชาติ ต้องทำความเข้าใจที่มาที่ไปตามประวัติศาสตร์ก่อนว่า ชาวยิวและชาวปาเลสไตน์ มีต้นกำเนิดอย่างไร และชนวนความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายเริ่มขึ้นในช่วงเวลาไหน


จากหลักฐานทางโบราณคดีระบุว่า ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว และชาวปาเลสไตน์ต่างเคยตั้งรกรากอยู่อาศัยในบริเวณประเทศอิสราเอลในปัจจุบันมาตั้งแต่เมื่อ 4,000 ปีก่อนแล้ว แต่ก็ยังเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่ไม่ได้มีการประกาศตั้งอาณาจักร หรือเขตรัฐอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เนื่องจากช่วงเวลาตลอดกว่า 4,000 ปีที่ผ่านมา ดินแดนเล็กๆ ผืนนี้ที่มีขนาดใกล้เคียงกับจังหวัดนครราชสีมาถูกอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกยุคโบราณสลับกันปกครองมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งอียิปต์ กรีก โรมัน ออตโตมัน และจักรวรรดิบริเตน


แต่ด้วยพื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อระหว่าง 3 ทวีป ทั้งเอเชีย แอฟริกา และยุโรป ทำให้กลายเป็นพื้นที่ที่เกิดการปะทะสู้รบเพื่อแย่งชิงอำนาจของอาณาจักรยักษ์ใหญ่ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ร้อนถึงชาวยิวที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นที่ต้องเจอกับศึกสงครามอยู่ตลอด ทำให้ต้องเลือกที่จะลี้ภัยไปยังดินแดนอื่นแทน ซึ่งส่วนใหญ่คือยุโรป


แม้ว่าชาวยิวจะย้ายออกไป แต่ใช่ว่าดินแดนแห่งนี้จะเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าไร้ผู้คน เพราะชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ไม่ได้ย้ายหนีออกไปเฉกเช่นชาวยิว ทำให้ชาวปาเลสไตน์ครอบครองดินแดนดังกล่าว และเรียกพื้นที่นี้ว่า “คานาอัน”


แม้จะมีความต่างทางศาสนาของหลายเชื้อชาติที่อยู่บนแผ่นดินเดียวกัน แต่สิ่งที่เป็นจุดร่วมคล้ายๆ กันคือทั้ง 3 ศาสนาไม่ว่าจะเป็น คริสต์ อิสลาม และยูดาห์ มีความเชื่อว่า เยรูซาเล็ม นครที่ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่อยู่มาจนถึงปัจจุบัน เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของทั้ง 3 ศาสนา และเป็นจุดกำเนิดของศาสดาในศาสนาตัวเอง


การอพยพออกไปจากพื้นที่อิสราเอลของชาวยิวในตอนนั้น แม้จะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีกหรือไม่ แต่ด้วยความเชื่อของชาวยิวซึ่งยึดตามหลักพระคำภีร์ที่ระบุว่า อิสราเอลคือดินแดนที่พระเจ้าประทานมาให้แก่ชาวยิว ดินแดนแห่งพันธะสัญญาที่ชาวยิวได้รับมาหลังจากโมเสส ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในอดีตพระราชโอรสของฟาโรห์เซติที่ 1 แห่งอาณาจักรอียิปต์ในช่วง 1290 – 1279 ปีก่อนคริสตกาล ที่เชื่อว่าเป็นผู้บัญญัติกฎ ผู้เผยพระวจนะ และผู้ปลดปล่อยวงศ์วานชาวฮีบรู ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวยิวที่ในยุคของฟาโรห์ต้องอยู่ในชนชั้นทาสถูกและกดขี่อย่างทารุณ ซึ่งตามคัมภีร์โทราห์ในศาสนายูดาห์ หรือคัมภีร์เบญจบรรณในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิมของศาสนาคริสต์ อีกทั้งยังเป็นเราะซูลของอัลลอฮ์ตามคติของศาสนาอิสลาม และเป็นศาสดาตามคติของศาสนาบาไฮ ต่างเชื่อว่าโมเสสได้พาชาวฮีบรูเดินข้ามผ่านทะเลแดงที่ใช้อำนาจของพระเจ้าแหวกทางเปิดทะเลให้เดินข้ามไปยังดินแดนแห่งพันธะสัญญา


ในปี ค.ศ. 634–641 บริเวณแห่งนี้ รวมทั้งเยรูซาเล็ม ถูกอาหรับที่เพิ่งเข้ารีตอิสลามพิชิตได้ การควบคุมดินแดนนี้ได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่ของชาวมุสลิม และเกิดสงครามครูเสดครั้งแรกในปี 1099 ซึ่งครั้งนั้นนครเยรูซาเล็มแตก มีผู้ถูกสังหารหมู่ประมาณ 60,000 คน รวมทั้งยิว 6,000 คนที่ลี้ภัย ซึ่งในเวลานั้นก็ล่วงเลยการล่มสลายของรัฐยิวมาครบ 1,000 ปี และเหลือไว้เพียงแค่ชุมชนชาวยิวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


กระทั่งในในปี 1516 ภูมิภาคนี้ถูกจักรวรรดิออตโตมันเข้าควบคุมยาวนานจนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากนั้นจักรวรรดิบริเตนก็พิชิตออตโตมันได้ และตั้งรัฐบาลทหารขึ้นปกครอง จนในปี 1920 ดินแดนดังกล่าวถูกแบ่งระหว่างบริเตนและฝรั่งเศสภายใต้ระบบอาณัติ และพื้นที่ที่บริเตนบริหารราชการแผ่นดินซึ่งรวมอิสราเอลสมัยใหม่ได้ชื่อว่า “ปาเลสไตน์ในอาณัติ”


นับแต่มีชุมชนยิวพลัดถิ่นยาวนานนับพันปี ชาวยิวจำนวนมากต่างมีความหวังที่จะกลับคืนสู่ดินแดนอิสราเอล เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองดินแดนที่เรียกกันว่าปาเลสไตน์ หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมัน ผู้ปกครองพื้นที่แห่งนั้นในตะวันออกกลางพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1


ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวประกอบไปด้วยชาวยิวเป็นส่วนน้อย และชาวอาหรับเป็นส่วนใหญ่


ความตึงเครียดระหว่างคนสองกลุ่มนี้ทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ หลังนานาชาติยกหน้าที่ให้อังกฤษเป็นผู้กำหนดให้ปาเลสไตน์เป็น “บ้านแห่งชาติของคนยิว” ชาวยิวถือว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของบรรพบุรษของพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว แต่ชาวอาหรับในปาเลสไตน์ก็บอกว่านี่เป็นบ้านของพวกเขาเช่นกัน และไม่เห็นด้วยกับแผนของอังกฤษ


ระหว่างทศวรรษ 1920 – 1940 ชาวยิวย้ายถิ่นฐานมาที่นี่มากขึ้น หลายคนหนีการถูกประหัตประหารในยุโรป และต้องการบ้านหลังใหม่หลังถูกไล่ล่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยนาซี ความรุนแรงระหว่างชาวยิวและอาหรับเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งต่อคนอังกฤษด้วย


ในปี 1947 สหประชาชาติมีมติให้แบ่งปาเลสไตน์ออกเป็นรัฐของชาวยิวและชาวอาหรับแยกกัน โดยให้เยรูซาเลมเป็นเมืองนานาชาติ ผู้นำชาวยิวตอบรับแผนนี้แต่ฝ่ายอาหรับปฏิเสธไม่ยอมทำตามแผน


ในปี 1948 ผู้ปกครองชาวอังกฤษและผู้นำชาวยิวประกาศสถาปนาอิสราเอลเป็นรัฐหลังจากไม่สามารถเจรจาแก้ไขปัญหาได้


ชาวปาเลสไตน์หลายคนไม่เห็นด้วย และเกิดเป็นสงครามขึ้น โดยกองทัพจากประเทศอาหรับโดยรอบเข้าร่วมด้วย


ชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านของตัวเอง และกว่าจะมีการประกาศหยุดยิงในปีถัดมา อิสราเอลก็เข้ายึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของปาเลสไตน์สำเร็จ


จอร์แดนได้ควบคุมพื้นที่ที่เรียกกันว่าเวสต์แบงก์ อียิปต์ได้ครอบครองฉนวนกาซา ส่วนเยรูซาเลมถูกแยกออกเป็นของกองกำลังอิสราเอลฝั่งตะวันตก และของกองกำลังจอร์แดนในฝั่งตะวันออก


ด้วยความที่ไม่มีการบรรลุข้อตกลงใด ๆ ต่างฝ่ายก็ต่างโทษกันและกัน ว่าเป็นที่มาของความขัดแย้งและการทำสงครามเรื่อยมาอีกหลายทศวรรษ


ในสงครามครั้งใหญ่อีกหนเมื่อปี 1967 ที่รู้จักกันในชื่อ สงคราม 6 วัน (Six Day War) อิสราเอลสามารถยึดครองเยรูซาเลมตะวันออก เขตเวสต์แบงก์ ฉนวนกาซา พื้นที่ส่วนใหญ่ของที่ราบสูงโกลันของซีเรีย และแหลมไซนาย เอาไว้ได้


ผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่และลูกหลานของพวกเขาอาศัยอยู่ในกาซาและเขตเวสต์แบงก์ และในประเทศเพื่อนบ้านอย่างจอร์แดน ซีเรีย และเลบานอน ด้วย


คนเหล่านี้และลูกหลานไม่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน โดยอิสราเอลบอกว่าจะทำให้คนล้นประเทศและเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐยิว


อิสราเอลถือว่าพื้นที่ในเยรูซาเล็มทั้งหมดเป็นเมืองหลวงของตัวเอง ขณะที่ชาวปาเลสไตน์บอกว่าเยรูซาเล็มตะวันออกจะเป็นเมืองหลวงในอนาคตของพวกเขา โดยสหรัฐฯ เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศเท่านั้นยอมรับการอ้างเป็นเจ้าของเยรูซาเล็มทั้งเมืองของอิสราเอล


ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อิสราเอลได้เข้ามาก่อสร้างและตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งตอนนี้มีชาวยิวกว่า 6 แสนคนอาศัยอยู่


ชาวปาเลสไตน์บอกว่า การลงหลักปักฐานนี้ผิดกฎหมายนานาชาติ และเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเพื่อสันติภาพ แต่อิสราเอลก็ปฏิเสธ


ชัยชนะของอิสราเอล ทำคนที่ไม่พอใจมากที่สุดคือ ดินแดนปาเลสไตน์ เพราะพื้นที่ที่อิสราเอลได้มา นั่นหมายถึงสัดส่วนพื้นที่ของปาเลสไตน์ที่ UN จัดสรรให้ค่อย ๆ หายไป เมื่อทำสงครามกันซึ่งหน้าแล้วไม่ชนะ ชาวปาเลสติเนียนจึงก่อตั้ง “องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ หรือ Palestine Liberation Organization : PLO” พร้อมผู้นำที่ชื่อ “ยัตสเซอร์ อาราฟัต (Yasser Arafat) พร้อมความตั้งใจใหม่คือ สู้รบแบบกองโจร ที่เน้นเข้ามาสร้างความวุ่นวายในเขตประเทศอิสราเอลนานหลายปี


ชาวปาเลสไตน์ ตอนนี้ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในการปกครองตนเอง พวกเขาเหมือนเป็นเบี้ยล่างของฝั่งอิสราเอล แต่จะให้ไปรบก็ไม่มีวันชนะ อย่างไรก็ตาม เกิดเหตุสำคัญขึ้นเมื่อรถของกองทัพอิสราเอลไปชนเข้ากับรถขนคนงาน จนเป็นเหตุให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิต 4 ราย จากเรื่องนี้ทำให้ชาวปาเลสไตน์ลุกฮือขึ้นสู้ โดยเหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า Intifada ครั้งที่ 1


ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากออกมาเดินขบวนประท้วงในฉนวนกาซ่าและทำร้ายเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล ส่วนอิสราเอลก็ไม่ยอมอยู่เฉย มีการใช้อาวุธหนักเข้าสู้กับผู้ประท้วงอย่างดุเดือด จนนำไปสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ มีชาวอิสราเอลเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 277 ราย และชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตถึง 1,962 ราย


ในช่วงเวลาเดียวกัน ชาวปาเลสไตน์กลุ่มหนึ่งมองว่า PLO มีท่าทีประนีประนอมเกินไป และไม่ได้ยึดถือกับกฎระเบียบของศาสนาอิสลาม ดูจากสถานการณ์แล้วคงยากที่ปลดปล่อยปาเลสไตน์ได้ จึงได้มีการก่อตั้งกลุ่มใหม่ขึ้นมาอีกกลุ่มในชื่อ “กลุ่มฮามาส”


ขณะที่ PLO เริ่มหยุดการสู้รบแบบกองโจร และมองหาแนวทางสันติในการเจรจาต่อรองกับอิสราเอล กลุ่มฮามาสเลือกที่จะใช้วิธีสู้รบกับอิสราเอลด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้น พวกเขาได้กลายเป็นกลุ่มการเมืองอีกขั้วของปาเลสไตน์ที่มีบทบาทสำคัญมาจนถึงปัจจุบัน 


ฝั่งนานาชาติเองก็พยายามเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทอีกครั้ง จนมาสู่การทำข้อตกลงออสโลในปี 1993 และ 1995 โดยตกลงว่าจะมีการแบ่งเขตเวสต์แบงค์ออกเป็นเขต A B และ C พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ปาเลสไตน์ได้ปกครองตนเองในบางส่วน


แต่ความขัดแย้งยังคงไม่ยุติลงง่ายๆ เมื่อกลุ่มฮามาสไม่ได้ไปยอมตกลงอะไรด้วย พวกเขายังไม่ยอมละทิ้งจุดมุ่งหมายเดิม คือการทำลายล้างอิสราเอลให้สิ้นซาก และไม่มีการอ่อนข้อลงเหมือนอย่าง PLO แต่อย่างใด


การโจมตีจากกลุ่มฮามาสเกิดขึ้นด้วยวิธีต่างๆ ทั้งที่เปิดหน้าสู้โดยการยิงมิสไซล์หวังถล่มอิสราเอล แต่ด้วยระบบป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอลที่เรียกว่า ไอรอนโดม ก็สามารถสะกัดกันการโจมตีทางอากาศได้ถึง 97%


นอกจากนี้ก็มีการใช้วิธีส่งมือระเบิดฆ่าตัวตายเข้าไปก่อเหตุในอิสราเอลหลายครั้ง ซึ่งก็ยิ่งทำให้การเจรจาสันติภาพดำเนินต่อไปได้ยากลำบาก และไม่มีทีท่าว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาจุดที่จะพูดคุยเจรจาได้อีกต่อไป


ขณะที่ความขัดแย้งของ 2 เชื้อชาติยังดำเนินไป ความขัดแย้งภายในปาเลสไตน์ก็ดำเนินอยู่ เมื่อกลุ่ม PLO และกลุ่มฮามาส เลือกใช้วิธีการปกครองคนในพื้นที่ด้วยการเลือกตั้ง และผลก็ออกมาว่ากลุ่มฮามาสชนะ และการประกาศกร้าวถึงความแข็งแกร่งของตนคือเข้ายึดครองพื้นที่ฉนวนกาซาได้สำเร็จ ชาวอิสราเอลต้องอพยพออกจากพื้นที่ แต่ก็ตั้งกองกำลังไว้บริเวณชายแดนฉนวนกาซา เพื่อป้องกันการลุกล้ำของกลุ่มฮามาส


หลังจากนั้น กลุ่มฮามาสก็ดำเนินการรบกับอิสราเอลมาตลอด ส่วนอิสราเอลใช้การสร้างกำแพงกั้นบริเวณชายแดนฉนวนกาซา นั่นหมายถึงประชาชนที่อยู่ในฉนวนกาซาถูกตัดขาดจากการช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น สาธารณสุข อาหาร ยา สุขอนามัย และแน่นอนว่าสหประชาชาติต้องยื่นมือเข้ามาช่วย โดยอ้างความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมถึงองค์กรระดับโลกอีกมากมาย เช่น อียู และสหรัฐฯ ก็พยายามเข้ามาพูดคุย แต่ดูเหมือนว่าเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุเท่านั้น เพราะต้นตอของปัญหายังคงอยู่


สำหรับกลุ่มฮามาสคือ กองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์ที่เคร่งศาสนาอิสลามซึ่งปกครองฉนวนกาซา กลุ่มฮามาสสาบานว่าจะทำลายล้างอิสราเอล และได้ทำสงครามกับอิสราเอลหลายครั้งนับตั้งแต่เข้ายึดครองฉนวนกาซา ในปี 2007 ในระหว่างการสู้รบ กลุ่มฮามาสได้ยิงหรืออนุญาตให้กลุ่มอื่น ๆ ยิงจรวดหลายพันลูกใส่อิสราเอล และเปิดฉากโจมตีอิสราเอลรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง ทั้งนี้ กลุ่มฮามาสได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านทั้งด้านเงินทุน การจัดหาอาวุธ และการฝึกซ้อมรบ


ซึ่งระยะเวลา 75 ปีแห่งความขัดแย้งนองเลือดบนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ ยังคงดำเนินต่อไปและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นและสะสมมารุ่นสู่รุ่นนับร้อยนับพันปี การหยุดยิงบางช่วงเป็นเพียงแค่การเตรียมการเพื่อรอเวลาเปิดฉากสาดกระสุนใส่กันอีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าการบาดเจ็บล้มตายของทหารและพลเรือนจะมีมากมายเท่าใด ก็ยังไม่สามารถยุติความบาดหมางทางเชื้อชาติและศาสนานี้ลงได้ และการเปิดฉากโจมตีครั้งนี้ก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน