การเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ทายาททางการเมืองของสมเด็จฮุน เซน ที่หลายฝ่ายต่างจับตาถึงความร่วมมือระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล ที่ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่าพรรคเพื่อไทยค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวของฮุน เซน มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร และในรัฐบาลชุดปัจจุบันหลังการเข้ารับตำแหน่งของนายเศรษฐา ทวีสิน ประเทศกัมพูชาก็เป็นประเทศแรกที่เดินทางไปเยือนเช่นกัน ดังนั้นการเจอกันของผู้นำประเทศทั้งสองชาติ จึงถูกจับตามองอย่างมากทั้งจากฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะการเจรจาในประเด็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ยืดเยื้อมายาวนาน
สำหรับพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวตั้งอยู่ในอ่าวไทย ซึ่งมีพื้นที่ราว 26,000 ตารางกิโลเมตร เริ่มจากหลักเขตแดนที่ 73 ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชา แต่เป็นเริ่มต้นการขีดเส้นเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ ตั้งอยู่บริเวณบ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด

โดยกัมพูชาได้เริ่มประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปก่อนในปี 1972 โดยลากเองอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้อ้างอิงหลักกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ เลย ซึ่งพื้นที่เส้นเขตแดนที่โดนเคลมไปนั้นกัมพูชาลากเส้นไปยังละติจุด 101 ลิปดา 20 ลิปดา เหนือ ลองติจูด 11 ลิปดา 32 ลิปดา ตะวันออก
และลากยาวผ่านไปยังภูเขาที่สูงที่สุดของ อ.เกาะกูด นั่นเท่ากับว่ากัมพูชาเคลมเกาะกูดของไทยไปครึ่งเกาะ และยังลากไปยังเส้นลองจิจูด 101 ลิปดา 13 ลิปดาเหนือ และละติจูด 10 ลิปดา 59 ลิปดาตะวันออก และลากไปชนกับเส้นเขตเศรษฐกิจพิเศษ 120 ไมล์ทะเล ที่มากกว่า 150,000 ตารางกิโลเมตร และแผนที่ดังกล่าวกัมพูชาใช้เป็นพื้นอ้างอาณาเขตมาตลอดระยะเวลา 30 ปี
ส่วนของไทยที่ประกาศเขตไหล่ทวีปของตัวเองหลังกัมพูชาเกือบ 1 ปี เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1973 โดยอ้างตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี 1982 ซึ่งมีพื้นฐานมาจากอนุสัญญาเจนีวาปี 1958 ที่ซึ่งไทยเป็นภาคีอยู่ก่อนและยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ โดยจุดเริ่มอาศัยหลักเขตทางบกหลักที่ 73 เป็นจุดตั้งต้นเช่นกัน จากนั้นลากเส้นจากจุดที่ 1 ที่ละติจูด 11 องศา 39 ลิปดา เหนือและลองติจูดที่ 102 องศา 55 ลิปดาตะวันออก ไปยังจุดที่สองละติจูด 9 องศา 48.5 ลิปดา เหนือ และลองติจูดที่ 101 องศา 46.5 ลิปดาตะวันออก
หากดูจากภาพประกอบจะพบว่า เส้นเขตแดนทางทะเลของไทยจะไม่ล้ำเข้าไปในน่านน้ำที่เป็นพื้นที่เชื่อมกับชายฝั่งของกัมพูชา เพราะเส้นจะเฉียงลงมาทางตะวันตกใต้เล็กน้อยก่อนไปบรรจบเส้นเขตแดนไทย-มาเลเซีย
แต่ในฝั่งเส้นเขตแดนที่ทางกัมพูชาเคลมนั้นจะผ่านทั้งพื้นที่เกาะกูดซึ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย และลากลึกเข้ามาถึงกลางอ่าวไทยตอนใน ทำให้เมื่อทั้งสองเส้นเขตแดนที่ทางไม่เหมือนกันจึงเกิดเป็นพื้นที่วางขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่นี้

แน่นอนว่าทรัพยาการทางทะเลและใต้ทะเลถือเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล เนื่องจากผู้ที่ได้ครอบครองพื้นที่ดังกล่าวก็จะได้กรรมสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรเหล่านั้น เพราะมีการสำรวจพื้นที่ดังกล่าวมาแล้วในบางส่วนและพบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พื้นที่บริเวณนั้นจะเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติปริมาณ 11 ล้านล้านคิวบิกฟุต คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 3.5 ล้านล้านบาท อีกทั้งยังมีน้ำมันอีกราว 500 ล้านบาร์เรล มูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท หรืออาจจะมีมากกว่านั้นถึงหลัก 10 ล้านล้านบาท และถ้าหากขุดก๊าซธรรมชาติเหล่านี้ขึ้นมาได้ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ยาวนานถึง 20 ทั้งเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้าและเป็นเชื้อเพลิงในด้านอื่นๆ
หากจะกล่าวว่าบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลจุดดังกล่าวเป็นแหล่งขุมทรัพย์ด้านปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติแหล่งสุดท้ายในทะเลอ่าวไทยก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะเนื่องจากแหล่งทรัพยากรเหล่านี้ประมาณ 9 แหล่ง เหลือปริมาณสำรองที่สามารถขุดขึ้นมาใช้ได้อีกเพียงแค่ 5 – 10 ปีเท่านั้น และตลอดระยะเวลาที่มีการสำรวจเพิ่มเติม ก็ไม่พบแหล่งก๊าซฯ และปิโตรเลียมเพิ่มเติมอีกแล้ว ฉะนั้นพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวจึงเป็นความหวังของทั้งไทยและกัมพูชาที่จะเข้าไปสำรวจเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานไปอย่างน้อยอีก 20 ปี
สำหรับประเทศไทยนั้นการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีสัดส่วนสูงที่สุดมาจากพลังงานของก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคิดเป็นถึง 54% ของพลังงานทั้งหมด โดยมีความต้องการก๊าซฯ ที่ 4,000 – 4,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งไทยขุดขึ้นมาใช้จากแหล่งก๊าซฯ ภายในประเทศราว 50% นอกจากนั้นนำเจ้าจากเมียนมา 20% และนำเข้าจากประเทศตะวันออกไกลอีก 30% ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางพลังงาน เพราะในเมื่อก๊าซฯ ธรรมชาติในแหล่งภายในประเทศลดลงก็ยิ่งต้องพึ่งพาจากภายในนอกมากขึ้น ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือราคาพลังงานจะสูงขึ้น การผลิตกระแสไฟฟ้าต่อหน่อยก็จะมีราคาแพง จากความผันผวนด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ต่างๆ เช่นสงครามเป็นต้น

แม้การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนครั้งแรกที่เริ่มต้นในปี 1970 แต่ดูเหมือนว่าในทุกๆ ครั้งที่มีการพูดคุยจะไม่มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา มิหนำซ้ำยังมีการขยายเขตไหล่ทวีปเพิ่มขึ้นอีกโดยทางกัมพูชามักไม่มีการอ้างกฎหมายสากลใดๆ คืออยากขยายก็ขีดเส้นเอาดื้อๆ ขณะที่ฝั่งไทยพยายามเดินตามหลักกฎหมายสากลให้มากที่สุด จนกระทั้งมาถึงในปี 2001 ที่มีการกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องจัดทำข้อตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่บริเวณที่อยู่ต่ำกว่าเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือ ซึ่งทีพื้นที่ราว 16,000 ตารางกิโลเมตร แต่พื้นที่เหนือเส้น 11 องศาเหนือขึ้นไปอีก 10,000 ตารางกิโลเมตร จะเข้าไปพัวพันกับการแบ่งเส้นเขตแดนทางทะเล ซึ่งก็ยังไม่มีความชัดเจน ฉะนั้นเมื่อไม่มีความชัดเรื่องเขตแดน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะทั้งสองพื้นที่เป็นส่วนที่เชื่อมต่อกันอยู่
อย่างที่อธิบายไปในตอนต้นว่าการเจรจาในช่วงที่ผ่านมาที่ไม่สามารถยุติปัญหาได้ เพราะว่าทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์อธิปไตยบนพื้นที่ด้วยมาตรฐานที่ต่างกัน เช่นในกรณีการลากเส้นผ่ากลางเกาะกูดของกัมพูชา ที่บอกว่าเป็นของตัวเองครึ่งเกาะ แต่เมื่อย้อนกลับไปในอ้างอิงโดยอดีตสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1907 ที่ฝรั่งเศสซึ่งปกครองกัมพูชาอยู่ ได้ยอมยกเกาะทั้งหลายที่อยู่ใต้แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูดให้ฝ่ายสยามไปแล้ว ดังนั้น ถือว่าการอ้างสิทธิของกัมพูชาไม่มีหลักกฎหมายระหว่างประเทศรองรับ
ประกอบกับในหนังสือ กฎหมายและผลประโยชน์ของไทยในอ่าวไทย : กรณีศึกษาบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา เรื่องเจรจาสิทธิในอ่าวไทย ของ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับการหารือเรื่องนี้ ก็บอกว่า ฮุน เซน พูดเองว่า กัมพูชาจะยกเลิกการเคลมเกาะกูดเป็นของกัมพูชากึ่งหนึ่ง และถือว่าเกาะกูดเป็นของไทย แต่ไม่อยากให้ประกาศออกไปสู่สาธารณะ เพราะจะนำไปสู่ประเด็นทางการเมืองในประเทศ
และจากการเจรจาเพื่อจัดทำ MOU ในปี 2001 แผนผังประกอบดังกล่าวของทางกัมพูชาเอง ก็วาดเส้นให้เป็นรูปตัว U ล้อมด้านใต้ของเกาะกูดเอาไว้ ไม่ลากผ่ากลางเกาะเหมือนฉบับก่อนหน้า เหมือนเป็นการยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยไปแล้ว
แต่ประเด็นของเกาะกูดก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในหลายเรื่องที่จะต้องมีการแก้ปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าการเดินทางมาเยือนไทยของฮุน มาเนต ในครั้งนี้ก็ยังไม่สามารถเจรจาหาทางออกร่วมกันได้ในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวร่วมกัน โดยเฉพาะการแบ่งสันปันส่วนทรัพยากรธรรมชาติว่าใครจะได้เท่าไหร่ สัดส่วนแบบไหน สมการคำนวนคือใช้หลักการอะไร เพราะถ้าสมมุติว่าแหล่งก๊าซฯ อย่างติดฝั่งชายแดนไทยมากกว่าจะยังคงสัดส่วนแบ่งแบบเดิมหรือไม่ ซึ่งยังเป็นหนังเรื่องยาวที่ต้องคุยกันอีกนานไม่มีทางจบลงง่ายๆ

และต่อให้เจราจาลงตัวแล้ว ก็ต้องใช้เวลาในการสำรวจ 4 – 5 ปี และการสร้างแท่นขุดเจาะ วางท่อ วางระบบก็ใช้เวลาอีกอย่างน้อย 7 – 8 ปีกว่าจะนำก๊าซฯ หรือปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ได้ ซึ่งก็กินเวลาไม่ต่ำกว่า 15 ปี
แต่กว่าที่จะไปถึงเวลานั้นก็ต้องผ่านด่านการเจรจาปัญหาอธิปไตยเหนือเขตแดนทางทะเลให้ได้เสียก่อน เพราะถ้าหากเจรจากันไม่ได้แล้วสุดท้ายเรื่องไปให้ศาลระหว่างประเทศตัดสิน ก็เกรงว่าจะเข้าอีหรอบเดียวกับกรณีเขาพระวิหาร ที่เคยสร้างความบอบช้ำให้คนไทยมาแล้ว