‘เงินธุรกิจ’ กับ ‘เงินส่วนตัว’ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แม้เจ้าของจะหาเงินมาก็ไม่ควรเบิกมาใช้ตามอำเภอใจ ยิ่งนิติบุคคลยิ่งต้องระวัง ถ้าไม่อยากโดนภาษีย้อนหลัง
.
ปัญหา “เรื่องเงินๆ ทองๆ” มักกลายเป็นเรื่องใหญ่ทุกครั้งเวลาที่เกิดกรณีข้อขัดแย้งกัน ทั้งทำให้บ้านแตก ครอบครัวพังทลาย ทำลายมิตรภาพระหว่างเพื่อน พี่ น้อง หรือแม้แต่ทำให้ธุรกิจพังมานักต่อนัก เพราะการบริหารจัดการเงินที่ไม่เป็นระบบ และใช้เงินของกิจการปะปนกับเงินส่วนตัว ซึ่งมักเกิดกับธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจครอบครัว หรือกงสี
.
หลายๆ คนที่ประกอบอาชีพเป็นดารา นักแสดง หรือศิลปิน มักเลือกที่จะไม่รับเงินเข้าบัญชีส่วนตัวเมื่อมีการรับงานจ้าง แต่จะมีการจดเป็นนิติบุคคลจัดตั้งเป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) หรือเป็นบริษัท เพื่อใช้รับงานรับเงิน เนื่องจากหากรับเงินค่าจ้างในนามบุคคลจะต้องเจอกับอัตราภาษีสูงสุดถึง 35% เพราะอาชีพเหล่านี้มีรายได้ค่อนข้างสูงนั่นเอง
.
แต่หลายครั้งก็มักลืมไปว่า เงินที่รับผ่านบริษัทจากการจ้างงาน ไม่ใช่เงินส่วนตัว การที่จะเอาเงินไปใช้นอกเหนือประโยชน์ของการดำเนินกิจการของธุรกิจ มักตามมาด้วยปัญหามากมาย ทั้งการไม่รู้ว่าที่มาที่ไปของเงินนั้นคืออะไร เงินเข้าจากไหน เงินออกไปไหน ลามไปถึงการตรวจสอบบัญชีที่นักบัญชีหลายคนปวดหัว เพราะบางครั้งก็ใช้เงินปนกันมั่วเพราะคิดว่าเงินที่ตัวเองหามาได้ต่อให้เข้าบริษัท ก็มักคิดว่าเป็นเงินของตัวเองในกระเป๋าส่วนตัว ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากหากกรมสรรพากรมาตรวจเจอ และหลายคนเจอภาษีย้อนหลังกันมานักต่อนัก
.
เมื่อนำเงินเข้าบริษัทแล้วเจ้าของบริษัทหรือกรรมการมีสิทธิ์ได้เงินเพียงแค่ 2 ส่วนหลักๆ เท่านั้นคือ
.
1. เงินเดือน ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงตั้งแต่ต้นว่าจะจ่ายเงินเดือนตัวเองเท่าไหร่
2. เงินปันผล ซึ่งกรรมการ หรือผู้ถือหุ้นจะได้ก็ต่อเมื่อธุรกิจนั้นมีกำไรมากเพียงพอ
.
ผลกระทบใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่จะตามมาโดยเฉพาะธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว คือ จะก่อให้เกิดเป็น ‘เงินกู้ยืมกรรมการ’ ในทางบัญชีได้ ซึ่งเป็นเงินที่ไม่รู้ที่มาที่ไป และจะส่งผลเรื่องภาษี รวมถึงอาจโดนตรวจสอบจากทางกรมสรรพากรได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีโอกาสสับสนในการจ่ายภาษี ระหว่างภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกต่างหาก
.
และถ้าหากเป็นเงินที่สั่งจ่ายนอกเหนือจากนี้ จะกลายเป็น “เงินกู้กรรมการ” ซึ่งเท่ากับว่าบริษัท หรือ หจก. ติดหนี้บุคคลซึ่งก็คือเจ้าของธุรกิจ และหลายคนมักมองข้ามเรื่องนี้ไป นำเงินไปใช้จ่ายจนเกินตัว นอกเหนือจากที่ควรจะเป็น ส่งผลต่อการเงิน และการทำบัญชี รวมทั้งแจ้งภาษีอีกด้วย
.
ในกรณีที่เจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นมีหนี้ส่วนบุคคลอยู่ ก็ไม่สามารถถอนเงินบริษัทไปชำระหนี้ส่วนบุคคลได้เช่นกัน เพราะถือว่าเป็นการใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของธุรกิจ และเงินนี้เป็นเงินบริษัทไม่ใช่เงินตัวเอง แม้จะบอกว่าเราหามาก็ตาม แต่ถ้าเป็นการทำงานร่วมกัน คนที่อยู่หลังบ้านแม้ไม่ได้ออกไปหาเงินข้างนอกก็ยังถือว่าเป็นคนที่ทำงาน แต่ก็ถือว่าทุกคนทำงานร่วมกันหาเงิน ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง
.
อย่างไรก็ตามหลายคนมักตกม้าตายในเรื่องนี้ โดยเฉพาะการเปิดบริษัทเพื่อรับเงินมาในการบริหารจัดการภาษี เลยไม่ได้จัดการแบบที่บริษัทควรจะเป็น และเกือบร้อยเปอร์เซ็นมักเกิดปัญหาตามมาเสมอ ดังนั้นต้องพึงระลึกเสมอว่า เงินบริษัท ≠ เงินส่วนตัว อยากใช้ให้ตั้งเงินเดือน หรือจ่ายปันผลเท่านั้น