เวียดนามนำเข้ารถยนต์จากไทยมากที่สุดแซงอินโดนีเซีย ยังมั่นใจของที่ผลิตจากไทยคือ ของดี คุ้มค่า คุณภาพสูง คิดเป็น 45% ของรถนำเข้าทั้งหมดแม้จะแพงกว่าก็ตาม
.
แม้ว่าในช่วงนี้กระแสรถยนต์สัญชาติเวียดนามอย่าง VinFast จะมีถูกโปรโมทผ่านสื่ออยู่ตลอดเวลา เพื่อหวังให้ตลาดเป็นที่รู้จักและเปิดใจให้รถยนต์จากประเทศเพื่อนบ้านของมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศแทรกซึมเข้าไปอยู่ในสายตาบ้างไม่มากก็น้อย
.
แต่ด้วยตลาดรถยนต์นั้น นับว่าเป็นอุตสาหกรรมหนักที่มีการแข่งขันกันสูงทั้งในด้านเทคโนโลยี และคุณภาพที่ต้องใช้เวลาสั่งสมกันมานานหลายสิบปีกว่าที่จะแง้มหัวใจของผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อ เนื่องด้วยรถยนต์เป็นสินค้าที่มูลค่าสูงและต้องอยู่กับผู้ซื้อไปนานหลายปี จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้คนจะเปลี่ยนมาทดลองแบรนด์ใหม่ๆ ที่เพิ่งทำตลาดโดยเฉพาะรถยนต์สัญชาติอาเซียนที่มีระดับการพัฒนาที่น้อยกว่า และที่ผ่านมามีข่าวในแง่ลบค่อนข้างมากมาโดยตลอด
.
แต่ต่อให้ยอดจำหน่ายรถยนต์สัญชาติเวียดนามจะเติบโตในประเทศ แต่ก็ยังไม่อาจขึ้นมาเทียบเท่ารถยนต์ที่มีการนำเข้ามา และประเทศไทยได้กลายมาเป็นประเทศที่เวียดนามนำเข้ารถยนต์มากที่สุดแล้วแซงหน้าอินโดนีเซียในปี 2023 โดยมีสัดส่วนการนำเข้าถึง 45% และมูลค่าถึง 40.5% ของตลาดรถยนต์เวียดนามทั้งหมด
.
กรมศุลกากร (GDC) รายงานว่าเวียดนามนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป (CBU) จำนวน 118,942 คันในปี 2566 ด้วยมูลค่า 2,830 ล้านดอลลาร์ หรือราว 103,889 ล้านบาท แม้จะมีสัดส่วนโดยรวมลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2022 ที่มีการนำเข้ารถยนต์ 173,467 คัน และมูลค่าการนำเข้า 3,840 ล้านดอลลาร์ หรือราว 140,966 ล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของทิศทางตลาดรถยนต์ในเวียดนาม
.
ทั้งนี้ในปี 2023 ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาแทนที่อินโดนีเซียในฐานะซัพพลายเออร์รถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม รวมทั้งการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคันอีกด้วย
.
สำหรับรถยนต์ที่นำเข้าจากไทยมีจำนวนมากถึง 53,942 คัน มูลค่า 1,140 ล้านดอลลาร์ หรือราว 41,849 ล้านบาท แม้จะมีปริมาณลดลง 25.1% เมื่อเทียบกับปี 2022
.
โดยการนำเข้าจากประเทศไทยคิดเป็นปริมาณ 45% และมีมูลค่า 40.5% ของมูลค่าตลาดรถยนต์เวียดนามทั้งหมด โดยราคาเฉลี่ยของการนำเข้ารถยนต์จากประเทศไทยต่อคันอยู่ที่ 21,100 ดอลลาร์ หรือ 774,581 บาท ซึ่งถือว่ามีราคาสูงกว่านำเข้าจากอินโดนีเซีย 0.5 เท่า
โมเดลรุ่นรถยนต์ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดของชาวเวียดนาม ได้แก่ แบรนด์ Toyota Corolla Cross, Camry และ Corolla Altis และ Fortuner บางรุ่น, Ford Everest, Honda HR-V, Civic, Mazda2, CX 30, CX-3 และ Forester Subaru
.
ขณะที่อินโดนีเซียตกอยู่ในอันดับที่ 2 ในรายชื่อผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด โดยมีรถยนต์ 42,676 คันส่งออกไปยังเวียดนามในปี 2023 มูลค่า 607.55 ล้านดอลลาร์ หรือราว 22,303 ล้านบาท ลดลงถึง 41% ในด้านปริมาณ และ 42% ในด้านมูลค่า
.
ในส่วนของส่วนแบ่งการตลาด การนำเข้าจากอินโดนีเซียคิดเป็นปริมาณ 35.8% และมูลค่าการนำเข้ารถยนต์ CBU ทั้งหมดของเวียดนามคิดเป็น 21.5% ส่วนราคาต่อคันโดยเฉลี่ยค่อนข้างต่ำ ประมาณ 14,200 ดอลลาร์ต่อคัน หรือ 521,282 บาท
.
การนำเข้าจากอินโดนีเซียลดลงเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์บางรายเริ่มประกอบรถยนต์รุ่นที่ขายดีที่สุดในเวียดนาม เช่น Toyota Veloz Cross และ Hyundai Creta เป็นต้น
.
ด้านประเทศจีนที่เป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ไปยังเวียดนามในปีที่แล้วโดยมีผลิตภัณฑ์ 11,002 รายการมาจากเวียดนาม มูลค่า 394.2 ล้านดอลลาร์ หรือราว 14,471 ล้านบาท ลดลง 36.5% ในด้านปริมาณ และ 44.8% ในด้านมูลค่า เมื่อเทียบกับปี 2022
.
รถยนต์จีนคิดเป็นสัดส่วน 9.25% ของยอดรวม และ 13.9% ของมูลค่าการนำเข้า CBU ทั้งหมดของเวียดนาม
.
แตกต่างจากประเทศไทยและอินโดนีเซียซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกรถเก๋ง แต่การนำเข้ารถยนต์จากจีนส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกและยานพาหนะพิเศษซึ่งมีราคาต่อหน่วยค่อนข้างสูง 35,800 ดอลลาร์ต่อคัน หรือราว 1,314,218 ล้านบาท
.
ด้วยเหตุนี้ ประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 ประเทศ รวมถึงไทย อินโดนีเซีย และจีน ครองสัดส่วนตลาดรถยนต์ในเวียดนามถึง 90.5% ของการนำเข้ารถยนต์ทั้งหมด ส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือที่ 9.5% เป็นการนำเข้าจากฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดียรวมกัน
.
อย่างไรก็ตามสำนักงานสถิติทั่วไป (GSO) รายงานว่ายอดการผลิตรถยนต์ประกอบในประเทศในปี 2566 มีจำนวน 347,400 คัน ลดลง 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
.