“กมลา แฮร์ริส สาวแกร่งผิวสี ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้รับไม้ต่อจาก ‘โจ ไบเดน’ ที่เชื่อว่าประเทศต้องอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ บรรดานักวิเคราะห์มองกมลากำลังจะเข้ามาเปลี่ยนทิศทางการเลือกตั้งต่อจากนี้ แต่การแข่งขันครั้งนี้ไม่ง่าย และยังอีกยาวไกล”
ท่ามกลางสมรภูมิการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาที่ดูเหมือนจะเดือดอยู่ข้างเดียวของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ผู้ท้าชิงจากพรรคริพับลิกัน และ ‘โจ ไบเดน’ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบันที่ดูจะอ่อนล้าหมดแรงไปทุกวัน การแข่งขันดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหตุการณ์ลอบสังหารทรัมป์ ที่ยิ่งเป็นตัวเร่งให้อุณหภูมิการเลือกตั้งร้อนแรงขึ้น ภาพชูกำปั้นขึ้นฟ้าของทรัมป์พร้อมกับธงชาติสหรัฐฯ ลอยอยู่เหนือหัวท่ามกลางความโกลาหลกลายเป็นภาพ Iconic ที่ทรงพลัง และมากพอที่จะส่งเสริมเรื่องเล่าในการหาเสียงของทรัมป์ให้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ พื้นที่สื่อและสายตาของทั้งโลกตกเป็นของทรัมป์ไปโดยปริยาย หลายคนต่างคิดว่า ‘ทรัมป์ชนะแน่’
แต่แล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคมไบเดนได้ตัดสินใจทำสิ่งที่พลิกโฉมการเลือกตั้งครั้งนี้ คือการส่งไม้ต่อไปให้ ‘กมลา แฮร์ริส’ (Kamala Harris) รองประธานาธิบดี ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 แข่งกับโดนัลด์ ทรัมป์
กมาลา แฮร์ริส จะเปลี่ยนทิศทางการเลือกตั้งครั้งนี้ได้หรือไม่ หรือเธอจะเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไร ? Reporter Journey ได้สรุปบทวิเคราะห์จากทางฟากฝั่งอเมริกามาให้ได้อ่านพร้อม ๆ กัน เพราะอย่างที่เคยได้กล่าวไปตอนเขียนบทสัมภาษณ์โดนัล ทรัมป์ ว่า
“การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา จะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศแถบเอเชีย และประเทศไทยอย่างไม่อาจเลี่ยง”
กมาลา เดโมแครต และการเปลี่ยนแปลง
ขณะที่โจ ไบเดน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้มีการสำรวจความเห็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วสหรัฐฯ ผลสำรวจพบว่าประชาชนไม่ค่อยพอใจอย่างยิ่งกับสถานการณ์ของประเทศ หลาย ๆ คนแสดงความเห็นว่าระบบเศรษฐกิจและระบบการเมืองไม่ค่อยเข้ารูปเข้ารอยนัก พวกเขาต้องการความเปลี่ยนแปลง (ทว่าในแคมเปญหาเสียงของโจ ไบเดน เขาพยายามยกเรื่องของอัตราการว่างงานที่ลดลง เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น แต่ดูเหมือนประชาชนสหรัฐฯ จะมองข้ามเรื่องนี้)
โจ ไบเดน เป็นเหมือนภาพแทนหรือตัวแทนของความคงเดิม ซ้ำเดิม ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญหาเสียง Key message ที่ใช้สื่อสาร หรือแม้แต่วิสัยทัศน์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็มีความคล้ายกับของเดิมเมื่อครั้งปี 2020 ซึ่งดูเหมือนว่าครั้งนี้ปาระชาชนสหรัฐฯ เลือกที่จะ ‘ไม่ซื้อ’ พวกเขาต้องการความเปลี่่ยนแปลง และทรัมป์ คือชายที่มาพร้อมภาพของการเปลี่ยนแปลง
แต่พอเป็น ‘กมาลา แฮร์ริส’ เดโมแครตมีโอกาสอีกครั้งที่จะแสดงให้ประชาชนสหรัฐฯ ได้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ในมือของคน ‘รุ่นใหม่’ ที่ไม่ใช่ทั้งไบเดนและทรัมป์ที่มีอายุรวมกันเกือบ 200 ปี แต่เป็น ‘กมาลา’
ถึงแม้เธอจะต้องเผขิญกับความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลงานของเธอที่ไม่ค่อยโดดเด่นมากนักขณะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี แต่เธอจะมีพื้นที่ให้แสดงตัวตน หรือแม้แต่โอกาสที่จะแสดงทิศทางใหม่ ๆ รสชาติใหม่ ๆ ให้กับสหรัฐอเมริกา
ภาพของปัญหาถูกมองใหม่ให้ชัดเจนขึ้น
ในแคมเปญเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ หากจะถามว่าปัญหาใดถูกถกเถียงหรือพูดถึงมากที่สุด คำตอบคือ ‘ไม่มี’ หรือถ้าจะให้ตอบว่ามีก็คงไม่พ้นเรื่องของ ‘อายุ’ ของโจ ไบเดน ที่ถูกทรัมป์และประชนชนพูดถึง
แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อปี 2020 ช่วงเวลานั้นมีประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงหรือให้ความสำคัญอย่างมาก คือเรื่อง Black Lives Matter จากการเสียชีวิตของ ‘จอร์จ ฟลอยด์’ แต่ตอนนี้เรื่องที่ถูกแสงไฟส่องกลับเป็นเรื่องอายุของไบเดน ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ภาพของปัญหาที่แท้จริงที่สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญด้วยซ้ำ
เดิมทีแล้วไบเดน เป็นเดโมแครตที่มีความ ‘ซ้าย ค่อนกลาง’ นโยบายต่าง ๆ ของเขาค่อนข้างได้รับความนิยม หรือไม่ก็ไม่ได้ถูกเกลียดมากนัก แต่ตอนนี้ไบเดนค่อนข้างอ่อนแอในฐานะผู้รณรงค์การหาเสียง ไบเดนไม่มี ’หมัดฮุก’ หรือสามารถเปิดแผลใด ๆ ให้กับทรัมป์ได้ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าทรัมป์จะมีจุดที่พอจะต่อยได้บ้าง เช่น ประเด็นเรื่องการทำแท้ง, ความรุนแรง, โครงการ 2025 หรือแม้แต่ข้อกล่าวหาต่าง ๆ แต่ไบเดนก็ไม่สามารถทำได้
แต่ไม่ใช่สำหรับ ‘กมาลา แฮร์ริส’ เธอสามารถทำได้ เพราะเธอเป็นเดโมแครตที่มีความ ‘ซ้ายมากกว่าไบเดน’ นั่นทำให้ตอนนี้เดโมแครตมีผู้รณรงค์การหาเสียงที่สามารถต่อยหมัดฮุกใส่ทรัมป์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำแท้ง เรื่องของคดีความของทรัมป์ ซึ่งกมลาสามารถใช้ความเป็นอัยการของเธอชี้ให้อเมริกาฯ เห็นว่าตอนนี้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญคือเรื่องอะไรกันแน่ (ที่ไม่ใช่เรื่องของอายุ)
การกลับมาอีกครั้งของข้อได้เปรียบทาง Generation และความ Inclusive
ในช่วงหลายปีที่ไบเดนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีผลสำรวจพบว่าความนิยมของพรรคเดโมแครต ‘ลดลงอย่างมาก’ จากคนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาว คนผิวสี และคนที่อยพยย้ายถิ่นฐานที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนใหญ่แล้วไบเดนจะชนะใจคนชั้นแรงงาน คนผิวขาว และผู้สูงอายุ
แต่ความแปลกคือถึงแม้ไบเดนจะชนะใจคนกลุ่มนั้น แต่ผลโพลกลับพบว่าความนิยมตรงนี้จะไม่เพียงพอต่อ popular vote ที่จะส่งให้ให้ไบเดนได้รับชัยชนะ ในขณะที่ทรัมป์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในรัฐที่มีความหลากหลาย
แต่เป็นอีกครั้งที่เมื่อเป็น ‘กมาลา แฮร์ริส’ เธอสามารถชนะใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาว คนผิวสี ผู้หญิง และคนต่างถิ่นในประเทศได้ ซึ่งเรื่องนี้ถูกยืนยันโดยโพลหลาย ๆ สำนัก เช่น มีโพลที่สำรวจเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ millennials ผลโพลบอกว่ากว่า 60% เทใจให้กับกมาลา และล่าสุดกมาลา ได้มีการสมัครบัญชี TikTok เพื่อใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะอีกด้วย
กมาลามีแนวโน้มที่ชนะใจคนรุ่นใหม่, วัยรุ่น, ผู้หญิง และคนย้ายถิ่นฐานมากขึ้นเรื่อย ๆ
คะแนนโหวดของคนชนชั้นแรงงานผิวขาว
เมื่อสังเกตตลอดระยะเวลากว่า 6 ทศวรรศที่ผ่านมา โชคชะตาในการนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตจะพลิกผันไปตามผลโหวดของ ‘คนผิวขาวที่เป็นคนชนชั้นกลาง’ และ ‘กลุ่มชนชั้นแรงงานผิวขาว’ เป็นส่วนใหญ่
‘บิล คลินตัน ประธานาธิบดีคนที่ 42’ และ ‘โจ ไบเดน’ คือ ประธานาธิบดีจากเดโมแครต 2 คนที่ชนะใจคนผิวขาว ทว่าทั้ง 2 คนเปรียบเสมือนคนที่ ‘ถูกเลือกมาตั้งแต่แรกจากพรรค’ เพื่อให้พรรคกลับมาชนะใจคนผิวขาวที่เป็นกลุ่ม swing vote หรือแม้แต่ ‘จิมมี คาร์เตอร์ ประธานาธิบดีคนที่ 39’ และ ‘บารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนที่ 44’ ก็พยายามชนะใจกลุ่มคนผิวขาวด้วยนโยบายทางเศรษฐกิจแบบประชานิยม เช่นกัน
แต่การจับคู่แข่งขันระหว่างไบเดนและทรัมป์อีกครั้ง ไม่ได้ช่วยให้ไบเดนได้เปรียบอีกแล้ว ประชาชนสหรัฐฯ รวมถึงคนผิวขาวและคนชนชั้นแรงงานต้องการความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนต่างถิ่นในประเทศก็ไม่ได้ให้ใจกับไบเดนมากนัก
ตรงนี้เองที่ ‘กมาลา แฮร์ริส’ อาจใช้ข้อได้เปรียบที่เธอชนะใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้หญิง และกลุ่มคนต่างถิ่นที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (อาจเป็นกลุ่มคนที่มีสิทธ์ออกเสียงมากกว่ากลุ่มคนผิวขาวและกลุ่มชนชั้นแรงงานผิวขาว) ในการหันมาหาวิธีที่จะหาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนโหวดจากกลุ่มคนชนชั้นกลางและแรงงานผิวขาวเพิ่มขึ้น
การแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว
ตอนนี้ยังไม่มีผลโพลที่แน่ชัดมากนักระหว่าง กมลา-ทรัมป์ บางสำนักให้ทรัมป์นำ ในขณะที่บางสำนักให้กมลานำ แต่ข้อสังเกตุคือ ความห่างของผลโพลนั้นไม่ห่างกันมาก อาจจะห่างกันเพียงแค่ 2-4% ตามแต่ละสำนัก
นักวิเคราะห์มองว่าตอนนี้ผู้มีสิทธ์เลือกตั้งยังไม่ค่อยเห็นกมาลา ในฐานะผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมากนัก ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ยิน-เห็น key message ในการหาเสียงซักเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็ยัง ‘ไม่เห็นเสียงที่โจมตีกมลาเช่นกัน’ ซึ่งนั่นหมายความว่า กมลายังมีพื้นที่และเวลาให้สามารถเรียกคะแนนจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งได้
‘กมาลา แฮร์ริส’ กำลังสร้างบรรยากาศใหม่ ๆ ให้กับเดโมแครต สหรัฐอเมริกา และสมรภูมิการเลือกตั้ง นับถอยหลังอีก 99 วันสู่การเลือกตั้งประธานาธีบดีสหรัฐฯ
เรื่อง: กฤชพนธ์ ศรีอ่วม
ภาพ: AP
อ้างอิง: The New York Times