ความหวังของลาวที่จะขายไฟฟ้าให้สิงคโปร์โดยตรงอาจล้มเหลว หลังไทยเบรกหัวทิ่มไม่ให้ขายโดยตรงถ้าจะใช้สายส่งของไทยต้องขายผ่านไทยเท่านั้น ด้านสิงคโปร์ไม่เสียเวลารอ รวยอยู่แล้วก็อนุมัติซื้อไฟฟ้าจากออสเตรเลียผ่านสายเคเบิลใต้ทะเลยาว 4,300 กม.ซะเลย ทุ่มงบลงทุน 1.9 แสนล้านบา
“แบตเตอรี่แห่งอาเซียน” นี่คือจุดยืนทางยุทธศาสตร์ประเทศที่สำคัญของ สปป.ลาว ที่ตั้งเป้าหมายให้ดินแดนที่ไร้ซึ่งทางออกสู่ทะเลแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียใต้กลายเป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพื่อป้อนให้กับชาติสมาชิกที่อยู่รายรอบทั้งไทย เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา หรือแม้แต่ชาติมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของเอเชียอย่างจีน ได้กลายมาเป็น “ลูกค้า” ผู้ซื้อไฟฟ้าจากลาว ซึ่งจะเห็นได้ว่าโรงไฟฟ้าและเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งน้อยใหญ่เกิดขึ้นมากมาย
ปัจจุบัน ลาวมีโรงไฟฟ้า 94 แห่ง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 11,661 เมกะวัตต์ และสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 58,813 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี โดยโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนต่างๆ ที่กั้นลำน้ำในทาวทั้งน้อยใหญ่ มีจำนวนมากถึง 77 แห่ง หรือคิดเป็น 81% ของโรงไฟฟ้าทั้งหมด และมีแนวโน้มจะก่อสร้างเพิ่มในอนาคตอีกหลายโรง
จนกลายเป็นประเด็นที่นานาชาติตั้งคำถามถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเหล่านี้ต้องใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติมหาศาล หรือแม้แต่การสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำใหญ่สายนานาชาติอย่างแม่น้ำโขง ก็ทำให้แม่น้ำสายนี้ที่เป็นหนึ่งในแหล่งน้ำที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกำลังถูกทำลายลง
และไม่ใช่แค่ประเทศที่มีพรมแดนทางบกติดต่อกับ สปป.ลาวเท่านั้นที่ต้องการซื้อไฟฟ้า ประเทศที่อยู่ถัดออกไปไกลถึงปลายแหลมมาลายูอย่างสิงคโปร์ ก็ต้องการซื้อไฟฟ้าจากลาวเช่นกัน
ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวออกมาเป็นระยะว่า สปป.ลาว เตรียมมีโครงการจะขายไฟฟ้าขนาด 100 เมกะวัตต์ ให้กับสิงคโปร์ ภายใต้โครงการบูรณาการพลังงาน สปป.ลาว-ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ (LTMS-PIP)
ซึ่งข้อตกลงการจัดซื้อพลังงานนี้เป็นการลงนามซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าลาว หรือ Électricité du Laos (EDL) และ Keppel Electric บริษัทผู้ขายไฟฟ้าแก่ภาคครัวเรือนของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Keppel Infrastructure Holdings โดยพิธีลงนามข้อตกลงทางการค้านี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา
รู้จักข้อตกลง LTMS-PIP หรือการขายไฟฟ้าข้ามพรมแดน 4 ชาติ
ด้วยความต้องการในการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ต่างมีอัตราการบริโภคไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เติบโต
แต่การที่ประเทศต่างๆ จะสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นมาใหม่เองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อเศรษฐกิจโต ผู้คนมีการพัฒนาองค์ความรู้สูงขึ้น การตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการสร้างโรงไฟฟ้าก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำให้ประเทศที่อยู่ในเกณฑ์การพัฒนาที่เริ่มสูงในอาเซียนทั้งไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มได้ง่ายดายเหมือนก่อน ดังนั้นการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ยังพอจะมีโอกาสสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มได้ง่ายกว่าจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการจัดหาไฟฟ้าสำรองเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่ง สปป.ลาวก็วางตัวเองเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าให้กับประเทศในภูมิภาคอยู่แล้ว
โครงการ LTMS-PIP หรือ Laos, Thailand,Malaysia and Singapore Power Integration Project โครงการบูรณาการพลังงานลาว ไทย มาเลเซียสิงคโปร์ เป็นผลต่อเนื่องจากบันทึกความเข้าใจที่มีการลงนามกันในการประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน (ASEAN Ministerson Energy Meeting-AMEM) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559 ที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมา ในโครงการ Power Integration ระหว่างไทย ลาว และมาเลเซีย ซึ่งเป็นความร่วมมือกันทั้งด้านเทคนิค ระเบียบ และราคาในการเชื่อมต่อระบบส่ง และการซื้อขายไฟฟ้า ระหว่าง 3 ประเทศ โดยข้อตกลงดังกล่าวหากประสบความสำเร็จในการนำไปปฏิบัติ จะถือเป็นครั้งแรกของการซื้อขายไฟฟ้าแบบพหุภาคีในอาเซียน (Multilateral power trade in ASEAN)
โครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียนอยู่ในแผนแม่บทการเชื่อมโยงระบบสายส่งไฟฟ้าในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 21 ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2546 และได้มีการเซ็นบันทึกความเข้าใจร่วมกันในที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2550
โดย ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็น 4 ประเทศนำร่อง สำหรับการซื้อขายไฟฟ้าข้ามประเทศผ่านโครงข่ายนี้ ก่อนจะขยายให้ครอบคลุมสมาชิกทั้ง 10 ประเทศในอนาคต โดยทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์มีแผนซื้อไฟฟ้าจากลาวก่อนประเทศละ 100 เมกะวัตต์ ในเฟสแรก และลาวเริ่มส่งไฟฟ้าขายให้มาเลเซียผ่านโครงข่ายสายส่งในประเทศไทยไปแล้วตั้งแต่เมื่อปี 2560
และเฟสที่ 2 ลาวจะส่งไฟฟ้าไปขายให้สิงคโปร์ 100 เมกะวัตต์ผ่านเครือข่ายสายไฟของไทยและมาเลเซีย โดยตั้งเป้าเริ่มการส่งไฟฟ้าในปี 2563
ลาวขอขายไฟโดยตรงให้สิงคโปร์ ไทยสั่งเบรกต้องขายผ่านไทยเท่านั้น
แม้ว่าที่ผ่านมาการส่งไฟฟ้าของ สปป.ลาวมาขายให้ไทย หรือมาเลเซียจะไร้ปัญหาใดๆ เพราะเป็นการดำเนินการตามข้อตกลงระหว่างประเทศร่วมกันโดยได้ประโยชน์ทุกฝ่าย
แต่การส่งไฟฟ้าไปขายยังสิงคโปร์ที่ทาง EDL และ Keppel ได้ตกลงซื้อขายกันแค่ 2 ฝ่ายและได้บทสรุปข้อตกลงด้านพาณิชย์ เทคนิค และกฎหมาย และมีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟกันอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าลาวจะขายไฟให้กับสิงคโปร์ 100 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 โดยลาวมีระยะเวลาภายใต้กรอบในการดำเนินงาน 2 ปี เพื่อพูดคุยเจรจากันประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นทางผ่านของสายส่งกระแสไฟฟ้าทั้งไทยและมาเลเซีย
กระทั้งเว็บไซต์ของสำนักข่าว The Straitstimes ของสิงคโปร์ รายงานเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า โครงการซื้อจาก สปป.ลาว และสิงคโปร์ ยังมีปัญหาขัดหลายประการและแทบไม่มีความคืบหน้า ซึ่งกรอบระยะเวลาในการดำเนินการเจรจาก็ได้สิ้นสุดลงไปแล้วในวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา
และทาง Keppel ของสิงคโปร์และ EDL ของ สปป. ลาว ได้ลงนามข้อตกลงการต่ออายุไปแล้วเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน แต่ยังไม่ได้มีการลงนามในข้อตกลงกับทั้งไทยและมาเลเซีย โดยมีสาเหตุจากข้อขัดแย้งในเรื่องปริมาณพลังงานที่จะซื้อ
ทั้งนี้ไทยและมาเลเซียมีกรอบเวลาในการลงนามข้อตกลงเพื่อดำเนินการส่งไฟฟ้าข้ามพรมแดนไปยังสิงคโปร์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 แต่แหล่งข่าวที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการนี้ระบุว่า ข้อตกลงขั้นสุดท้ายอาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และโครงการ LTMS อาจจะไม่บรรลุข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งขณะนี้ ไม่มีการขยายเวลาเพื่อต่ออายุในการลงนามออกไป
ประเด็นดังกว่านี้เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อตัวแทนจากรัฐบาลไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ได้มีการหารือกับตัวแทนจากรัฐบาลลาวที่กรุงเวียงจันทน์ โดยทั้งไทยและมาเลเซียได้ยื่นเงื่อนไขต่อสิงคโปร์ว่า ถ้าจะมีการซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาวซึ่งจะต้องมีการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านไทยและมาเลเซีย สิงคโปร์จะต้องรับประกันว่าการซื้อไฟฟ้าจะอยู่ในระดับคงที่ เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการนำส่งจากระบบจ่ายไฟของไทยและมาเลเซีย เพราะทั้งสองประเทศต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการบริหารัดการกระแสไฟฟ้าที่เข้ามาในระบบ ซึ่งผลของการยื่นเงื่อนไขคือ สิงคโปร์ปฏิเสธ เพราะในสัญญาเดิมที่ลงนามร่วมกันทั้ง 4 ประเทศระบุไว้ว่า ประเทศผู้ซื้อปลายทางจะชำระค่าเฉพาะค่านำส่งกระแสไฟฟ้าตามปริมาณที่ซื้อเท่านั้น
ฝั่งรัฐบาลไทยยื่นเงื่อนไขแจ้งไปยัง สปป.ลาว เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ว่าไทยได้แจ้งต่อลาวแล้วว่า จะไม่อนุญาตให้ส่งไฟฟ้าไปยังสิงคโปร์โดยตรง เนื่องจากไทยต้องการซื้อไฟฟ้าเอง ถ้าลาวจะขายต้องขายให้ไทยก่อนในฐานะที่ไทยเป็นผู้มีโครงสร้างพื้นฐานสายส่งไฟฟ้าเชื่อมต่อกับประเทศทางตอนใต้ที่เป็นปลายทางของกระแสไฟฟ้า และไทยต้องบริหารจัดการไฟฟ้าที่เข้ามาในระบบ ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ
สำหรับโครงการ LTMS ที่ดำเนินการในประเทศไทย โดยกระทรวงพลังงานที่มีคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้มีมติเห็นชอบอัตราค่าบริการในการใช้หรือการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge) ของไทย เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ใช้ในการเจรจาโครงการ LTMS เมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา
หลักการซื้อขายไฟฟ้าของโครงการ LTMS ทางการไฟฟ้าลาวว่าจ้าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้ามาเลเซีย ส่งพลังงานไฟฟ้าให้ Keppel ตามสัญญาโดยมีปริมาณซื้อขายขั้นต่ำ 30 เมกะวัตต์ และสูงสุด 100 เมกะวัตต์ อย่างน้อย 5 ชั่วโมงต่อวัน
โดยลาวเตรียมขายไฟฟ้าให้ไทยในราคา 7 เซ็นต์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.52 บาท) ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ขายให้เวียดนามและกัมพูชาในราคา 6 เซ็นต์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.16 บาท)
ขณะที่ราคาไฟฟ้าในสิงคโปร์อยู่ที่ 20 เซ็นต์สหรัฐฯ (ประมาณ 7.20 บาท) ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้ลาวสนใจขายไฟฟ้าให้สิงคโปร์เป็นอย่างมาก
โดยการจัดส่งไฟฟ้านี้ ให้ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้มาเลเซีย เชื่อมโยงกับการไฟฟ้าสิงคโปร์ โดยสรุปค่า Wheeling Charge ทางไทย 3.1584 เซนต์สหรัฐฯ ต่อหน่วย
สิงคโปร์ไม่เสียเวลารอ ต่อเชื่อมเคเบิลใต้ทะเลยาว 4,300 กม. ซื้อไฟฟ้าออสเตรเลีย
อย่างที่ทราบกันคือ สิงคโปร์แม้จะเป็นประเทศเกาะเล็กๆ ขนาดเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของพื้นที่กรุงเทพฯ กับจำนวนประชากรราว 5.5 ล้านคน แต่ก็เป็นชาติพัฒนาแล้วที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดชาติหนึ่งของโลก ทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน การค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ของเอเชีย
ทำให้สิงคโปร์มีเงินมาเพียงพอที่จะจัดสรรทรัพยากรด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับสูงต่อไป ซึ่งไฟฟ้าถือว่าเป็นปัจจัยการดำรงชีพขั้นพื้นฐานที่จะต้องมีอย่างเพียงพอ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสิงคโปร์ต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อบ้าน
และด้วยปัญหาการจัดหาไฟฟ้าจากโครงการความร่วมมือ LTMS ที่ยัง “ลูกผีลูกคน” รัฐบาลสิงคโปร์จึงต้องกระจายความเสี่ยง ไม่พึ่งพาจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องมีหลายแหล่งเพื่อให้สามารถรักษาระดับความมั่นคงทางพลังงานเอาไว้
โดยสิงคโปร์และออสเตรเลีย ได้ทำข้อตกลงซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกัน ซึ่งที่รัฐบาลนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี ทางตอนเหนือของประเทศ อนุมัติโครงการ Australia-Asia Power Link หรือ AAPowerLink หนึ่งในโครงการพลังงานหมุนเวียนและสายส่งไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะส่งพลังงานแสงอาทิตย์ของออสเตรเลียไปยังสิงคโปร์ผ่านสายเคเบิลใต้ทะเลความยาว 4,300 กิโลเมตร ภายใต้การดำเนินการของบริษัท ซันเคเบิล (SunCable) ประเทศออสเตรเลีย โดยใช้เม็ดเงินลงทุนสูงถึง 8,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 193,800 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งการก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ และระบบสายส่งบนแผ่นดินไปยังเมืองดาร์วิน และระบบเคเบิลใต้ทะเลที่ต่อตรงไปยังสิงคโปร์ โดยคาดว่าจะสามารถจ้างงานโดยตรงกว่า 1,750 ตำแหน่งงาน และการจ้างงานทางอ้อม 12,000 ตำแหน่งงาน
สำหรับออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีพื้นที่ทะเลทรายอยู่ใจกลางทวีป และสามารถรับแสงอาทิตย์ได้ตลอดทั้งปีไม่ต่างจากบริเวณเส้นศูนย์สูตร นับว่ามีความเหมาะสมอย่างยิ่งในการทำโซลาร์ฟาร์มเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ามีแหล่งกำเนิดจากพลังงานแสงแดด ทำให้ป้อนกระแสไฟฟ้าได้เป็นจำนวนมากตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน
ทั้งนี้การก่อสร้างแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ในระยะที่ 1 มีการจ่ายไฟฟ้าได้ 900 เมกะวัตต์ และระยะที่ 2 จ่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 3 กิกะวัตต์ ส่งผ่านสายเคเบิลจากประเทศออสเตรเลีย ผ่านชายแดนประเทศอินโดนนีเซีย และไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยคาดว่าการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากโครงการ AAPowerLink ระยะที่ 1 จะเกิดขึ้นได้ก่อนปี 2030
โดยโครงการนี้มีการคาดการณ์ว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 718,759 ล้านบาท ให้กับเขตนอร์เทิร์นเทร์ริทอรีในช่วงระยะเวลาการก่อสร้างและ 35 ปีแรกของการดำเนินงาน
อ้างอิง
NEW ATLAS