ผู้ปกครองไทยต้องใช้เงินเกือบ 40,000 บาท ส่งลูกเรียนต่อเทอม ครึ่งหนึ่งหมดไปกับค่าเทอมที่แพงเอา ๆ กว่า 45% ของผู้ปกครองมีเงินไม่พอ หลายคนยอมเป็นหนี้ส่งลูกเรียน ในขณะที่มูลค่าการใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมก็สูงขึ้นทุกปี ปีล่าสุดแตะ 60,000 กว่าล้านบาท ไม่แปลกที่อัตราการเกิดในไทยจะต่ำ

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจผู้ปกครองไทยในช่วงเปิดเทอม ผลสำรวจพบว่าบรรดาผู้ปกครองรู้สึกว่า ‘ค่าเทอมและหนังสือเรียนแพงขึ้น’ โดยผู้ปกครองไทยอาจมีค่าใช้จ่ายตอนลูกเปิดเทอมรวม ๆ แล้วเกือบ 40,000 บาท/คน โดยค่าใช้จ่าย 5 อันดับแรกที่ผู้ปกครองเตรียมเงินไว้จ่ายมากสุดจากการตอบแบบสำรวจเป็นดังนี้

1. ค่าเทอม ประมาณ 20,039 บาท
2. ค่าบำรุงโรงเรียน (กรณีย้ายโรงเรียน/แป๊ะเจี๊ยะ) ประมาณ 8,573 บาท
3. ค่าหนังสือ ประมาณ 2,446 บาท
4. ค่าบำรุงโรงเรียน ประมาณ 2,394 บาท
5. ค่าชุดนักเรียน/ชุดพละ/ชุดลูกเสือ ประมาณ 1,993 บาท

และค่าใช้จ่ายที่เหลือจะเกี่ยวกับค่าอุปกรณ์การเรียน (ประมาณ 1645 บาท) ค่าบริหารจัดการในการส่งลูกเรียน (ประมาณ 1,577 บาท) และค่ารองเท้า/ถุงเท้า (ประมาณ 1,224 บาท) รวม ๆ แล้วผู้ปกครองเตรียมเงินสำหรับใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมทั้งหมด 39,891 บาท

ซึ่งเมื่อย้อนดูสถิติตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 จะพบว่าสัดส่วนเงิน ‘ค่าเทอม’ ที่ผู้ปกครองต้องจ่ายให้กับโรงเรียน ค่อย ๆ มีสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดมา ซึ่งหมายความว่าค่าเทอมค่อย ๆ แพงขึ้นทุกปี

-ในปี พ.ศ. 2556 ค่าเทอมที่ผู้ปกครองต้องจ่ายมีสัดส่วน 36% ของเงินทั้งหมดเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
-แต่ในปี พ.ศ.2560 ค่าเทอมกินสัดส่วน 42.8%
-ในปี พ.ศ.2562 ค่าเทอมกินสัดส่วน 45.4
และในปี พ.ศ.2567 เงินที่ต้องจ่ายไปกับค่าเทอมมีสัดส่วนถึง 50.2% คิดเป็นครึ่งหนึ่งของเงินที่ผู้ปกครองต้องจ่ายต่อเทอม

คำถามต่อมาคือ การที่ผู้ปกครองต้องเตรียมที่จะใช้เงินมากขึ้นในการส่งลูกเรียนแบบนี้ ผู้ปกครองนำเงินที่ไหนมาจ่ายให้กับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ?

จากแบบสำรวจผู้ปกครองกว่า 61% ต่างตอบว่าใช้ ‘เงินออม’ เป็นค่าเล่าเรียนของลูก โดยอีก 34% ตอบว่าใช้เงินเดือนในการส่งเสีย

แต่จากการเก็บถสิติย้อนหลังตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 จะพบว่าผู้ปกครองไทย #หันมาพึ่งเงินออมมากขึ้น ในการส่งลูกเรียน และหวัง #พึ่งเงินเดือนน้อยลง ซึ่งอาจจะตีความได้ 2 แบบ คือ 1.อาจจะเกิดจากการวางแผนในระยะยาวของผู้ปกครองที่ค่อย ๆ เก็บเงินออมไว้สำหรับส่งลูกเรียนตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือ 2.เงินเดือนของผู้ปกครองไม่มากพอ (หรือปรับตัวขึ้นไม่มากพอ) ที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเรียนท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกปี

แต่ก็มีอีกหนึ่ง-สองตัวเลข ทีพอจะสะท้อนอะไรได้บ้าง ในปี พ.ศ.2566 ผู้ปกครอง 36.5% ให้ความเห็นว่า #มีเงินไม่เพียงพอ ที่จะส่งลูกเรียน แต่พอเป็นปี พ.ศ.2567 กลายเป็นผู้ปกครองกว่า 45.6% ที่ให้ความเห็นว่ามีเงินไม่พอที่จะส่งลูกเรียน เพิ่มขึ้นเกือบ 10% ใน 1 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้นมีผู้ปกครองราว ๆ 30% ที่ต้องก่อหนี้ยืมสินเพื่อส่งลูกเรียน

ทว่าสำหรับกลุ่มผู้ปกครอง 30% ที่ต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อส่งลูกเรียนนั้น อาจจะไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้จะสามารถเคลียร์หนี้ได้เมื่อสิ้นสุดเทอมการศึกษา หรืออาจมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงินในระยะเวลาสั้น ๆ ‘รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย’ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่าหนี้ที่น่าเป็นห่วงจริง ๆ ของคนไทยคือหนี้ครัวเรือนเสียมากกว่า

ซึ่งเมื่อมองที่ภาพใหญ่ของประเทศไทย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังได้เก็บข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นว่า ‘มูลค่าการใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมของประเทศไทย’ #มีมูลค่าสูงขึ้นทุกปี

-พ.ศ.2560 ประเทศไทยมีมูลค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม 50,196 ล้านบาท
-พ.ศ.2561 ประเทศไทยมีมูลค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม 52,254 ล้านบาท
-พ.ศ.2562 ประเทศไทยมีมูลค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม 54,972 ล้านบาท
-พ.ศ.2566 ประเทศไทยมีมูลค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม 57,885 ล้านบาท
-พ.ศ.2567 ประเทศไทยมีมูลค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม 60,322 ล้านบาท
**ปี พ.ศ.2563-2565 ไม่ได้ทำการสำรวจเนื่องจากโควิด-19 และการศึกษายังไม่กลับสู่ภาวะปกติ

ข้อมูลทั้งหมดกำลังสะท้อนให้เห็นว่าผู้ปกครองในประเทศไทยต้องใช้เงินส่งลูกเรียนที่มากขึ้นทุกปี ๆ ถึงแม้เมื่อถามผู้ปกครองตามความรู้สึกจะมีเพียงแค่ค่าหนังสือและค่าเทอมที่ผู้ปกครองรู้สึกว่าแพงขึ้น ต้องเตรียมเงินไว้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันสิ่งของและอุปกรณ์อื่น ๆ ก็แพงขึ้นทุกปีเช่นกัน ซึ่งทำให้มีผู้ปกครองหลาย ๆ คนต้องยอมกู้หนี้ยืมสินเพื่อส่งลูกเรียน เพราะลำพังแล้วเงินเดือนและเงินออมคงไม่สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ได้

และตอนนี้อัตราการเกิดใหม่ของเด็กไทยลดลงทุกปี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้ปกครองรู้อยู่แล้าว่าเมื่อมีลูก 1 คน ครอบครัวจะต้องแบกค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในการเลี้ยงดูลูก และส่งลูกเรียน ซึ่งตรงนี้เองก็สะท้อนกลับไปยังเศรษฐกิจประเทศไทยว่าจะทำอย่างไรให้มีเงินเข้ากระเป๋าของประชาชนมากขึ้น รัฐบาลจะแก้ปัญหาหรือปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างไรเพื่อให้ผู้ปกครองไทยมีเงินมากพอที่จะมีลูก และส่งลูกเรียน

ข้อมูลทั้งหมดเป็นเพียงตัวเลขการใช้จ่ายในระดับที่ต่ำกว่าปริญญาตรี ไม่อยากจะคิดเลยว่าค่าใช้จ่ายในการส่งเด็ก 1 คนให้จบระดับปริญญาตรี จะต้องใช้เงินเท่าไหร่ และผู้ปกครองจะต้องกู้หนี้ยิมสินเพิ่มเท่าไหร่


เรื่อง: กฤชพนธ์ ศรีอ่วม
อ้างอิง: พฤติกรรมการใช้จ่ายและผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม. (2567). ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย’