บทเรียน สปป.ลาว ประเทศพังทั้งเศรษฐกิจทั้งค่าเงินกีบ หนี้สาธารณะทะลุ 108% ทุนสำรองฯ เหลือไม่ถึง 1 เดือน รัฐบาลถังแตก เล็งขายโรงไฟฟ้า-ที่ดิน แลกจ่ายหนี้จีน


ลาวปลดผู้ว่าธนาคารกลางก็ไม่ช่วยอะไร เพราะเศรษฐกิจและค่าเงินกีบพังหมดแล้ว วิกฤตหนี้สาธารณะท่วม GDP ถึง 108% ทุนสำรองเหลือแค่ไม่ถึง 1 เดือนแทบไม่พอจ่ายค่านำเข้าสินค้าจำเป็น รัฐบาลอาจเสนอขายโรงไฟฟ้ารวมโครงข่ายการจ่ายไฟทั้งหมด และยกที่ดินในเวียงจันทร์ให้จีนเพื่อใช้หนี้


วิกฤตการเงินในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว นับว่าอยู่ในสถาณการณ์ที่ไม่อาจจะช่วยเหลือตัวเองได้เลย เพราะการที่ลาวนั้นเป็นประเทศที่มีการพึ่งพาเศรษฐกิจและการลงทุนจากชาติอื่นสูง รวมทั้งค่าเงินกีบเองก็เป็นค่าเงินที่แทบไร้มูลค่า แถมยังมีหนี้สินที่เกิดจากการกู้เงินจากต่างชาติซึ่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดก็คือจีน ทำให้การหาหนทางดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดจากการผิดนัดชำระหนี้ และต้องบังคับขายทอดสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อใช้หนี้นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

แม้จะผ่านมาแล้วถึง 2 ปีหลังจากการปฏิรูปธนาคารกลางของลาวซึ่งเปิดทางให้นายนายบุนเหลือ สินไซวอละวง เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว แต่ว่ากลับไม่สามารถพิสูจน์ฝีมือเพื่แก้ไขปัญหาค่าเงินกีบที่ร่วงลงเข้าขั้นย่ำแย่ได้เลย จนกระทั้งนายบุนเหลือนถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่เลวร้ายที่สุดของ สปป.ลาว ที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินท่วมหัว

อย่างไรก็ตาม เกิดการถกเถียงกันในหมู่บรรดานายธนาคารพาณิชย์และผู้สังเกตการณ์ที่มีประสบการณ์ว่า นายบุนเหลือจะถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่ท้าทายมากขึ้นในระบบราชการหรือถูกไล่ออกกันแน่ เพราะเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาการปิดสมัยประชุมกลางปีของสมัชชาแห่งชาติของประเทศพอดี

ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาชิกรัฐสภาเมื่อเดือนมิถุนายน สันติภาพ พมวิหาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้วิพากษ์วิจารณ์ข้อบกพร่องของนายบุนเหลือถึงความล้มเหลวของธนาคารกลางในการเพิ่มทุนสำรองเงินตราต่างประเทศให้เพียงพอ จนนำมาซึ่งการถูกปลดจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง วัดทะนา ดาลาลอย อดีตรองผู้ว่าการธนาคารกลาง ขึ้นมาทำหน้าที่แทน โดยโจทย์ที่ท้าทายก็คือการเพิ่มทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ

การปรับโครงสร้างล่าสุดของธนาคารกลาง ซึ่งขาดความเป็นอิสระภายใต้พรรคปฏิวัติประชาชนลาวที่กำลังปกครองอยู่ ชี้ให้เห็นถึงความวิตกกังวลในหมู่ผู้นำของประเทศเนื่องจากวิกฤตหนี้ต่างประเทศที่เลวร้ายลง ซึ่งมุมมมองของเหล่านายธนาคารพาณิชย์ในนครหลวงเวียงจันทน์กล่าวว่า สปป.ลาวไม่อยากผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ แต่ก็ไม่อยากไปหาเงินช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศเช่นกัน เนื่องจากอาจเกิดผลกระทบทางการเมืองตามมา

ข้อมูลจากกระทรวงการคลังของ สปป.ลาวเผยให้เห็นว่า ประเทศที่ติดอันดับยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและไม่มีทางออกสู่ทะเลซึ่งอยู่ติดกับภาคใต้ของจีนกำลังเผชิญปัญหาหนี้สินท่วมหัว โดยต้นทุนการชำระหนี้สาธารณะภายนอกของประเทศพุ่งสูงขึ้นเป็น 950 ล้านดอลลาร์ หรือราว 34,532 ล้านบาทในปี 2023 จาก 507 ล้านดอลลาร์ หรือราว 18,429 ล้านบาทในปี 2022

หนี้ท่วม 108% ของ GDP ไร้แววใช้หนี้หมด ทุนสำรองเหลือไม่ถึง 1 เดือน

หนี้สาธารณะและหนี้ที่รัฐบาลค้ำประกันซึ่งรวมหนี้ในประเทศและหนี้ต่างประเทศ อยู่ที่ 13,800 ล้านดอลลาร์ หรือราว 501,630 ล้านบาท ในปี 2023 หรือคิดเป็น 108% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยหนี้ต่างประเทศทั้งหมดในปีนั้นอยู่ที่ 10,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 381,675 ล้านบาท ซึ่งในสัดส่วน 48% ที่ 5,090 ล้านดอลลาร์ หรือราว 185,021 ล้านบาทเป็นหนี้ที่กู้จากประเทศจีน

แต่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของลาวมีอยู่เพียงแค่ 1,850 ล้านดอลลาร์ หรือราว 67,247 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม รัฐบาลกำลังดิ้นรนเพื่อเพิ่มการสำรองเงินดอลลาร์เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ แหล่งข่าวของรัฐบาลเปิดเผยว่าลาวต้องชำระหนี้ประจำปีประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์ หรือราว 47,255 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2024 – 2028 ซึ่งรัฐบาลต้องการเงินอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 363,500 ล้านบาท เพื่อครอบคลุม “ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับหนี้”

การที่ค่าเงินกีบ ซึ่งเป็นสกุลเงินท้องถิ่นตกต่ำลงส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศและประชาชนต้องอยู่ในสภาวะยากลำบากมากขึ้น เนื่องจาก สปป.ลาว พึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก เงินดอลลาร์มีความต้องการไม่เพียงแต่เพื่อชำระหนี้ต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเพื่อชำระค่าใช้จ่ายสำหรับการบริโภคและการลงทุนในท้องถิ่นอีกด้วย

ปัจจุบันเงินกีบซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 21,500 กีบต่อดอลลาร์ ลดลงจาก 11,500 กีบในปี 2022

รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ลาวกำลังดิ้นรนอย่างหนักที่หาทางเสริมสภาพคล่องเงินดอลลาร์ โดยเมื่อปีที่แล้วธนาคารพาณิชย์ในลาวได้รับแจ้งให้อัดฉีดเงินทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้เงินทุนในบัญชีเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

นายสถิตย์ ตะแลงสัตย์ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร UOB ประเทศไทย ให้ความเห็นกับ Nikkei Asia ว่าผู้ส่งออกในลาวอยู่ภายใต้แรงกดดันให้ทำธุรกรรมและฝากเงินเป็นสกุลดอลลาร์ในธนาคารพาณิชย์ในประเทศ

เอ็มม่า อัลเลน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศลาว ธนาคารพัฒนาเอเชียกล่าวว่า คาดการณ์ว่า หนทางรอดของลาวคืออาจต้องหันกลับไปใช้วิธีการระดมทุนแบบเดิม แถมอาจยังต้องกู้ยืมเงินใหม่เพื่อชำระหนี้หากแหล่งเงินทุนที่มีอยู่เดิมชำระหนี้ได้ไม่เพียงพอ

”เพื่อเพิ่มการเข้าถึงตลาดด้วยต้นทุนที่ต่ำลง สปป.ลาวจะต้องรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจมหภาคเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงอันดับเครดิตของประเทศ”

โทชิโร นิชิซาวะ นักวิชาการจากกรุงโตเกียว และผู้เชี่ยวชาญด้านลาว ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานโยบายของรัฐบาลลาวกล่าวว่า การยอมจำนนต่อจีนแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรทางอุดมการณ์ในระบอบสังคมนิยมของลาว และผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุดของประเทศเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่พอจะเป็นไปได้ การเลื่อนการชำระหนี้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีนตั้งแต่ปี 2020 และข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นธนาคารกลางของประเทศ เพื่ออ้อนวอนให้ช่วยเพิ่มเงินสำรองจากประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 36,350 ล้านบาท ในช่วงก่อนปี 2020 เป็น 1,900 ล้านดอลลาร์ หรือราว 69,065 ล้านบาทในเดือนมีนาคม 2024

รายงานของธนาคารโลกเมื่อเดือนเมษายน ประมาณการว่าทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสุทธิของลาว ซึ่งไม่รวมข้อตกลงสวอป ไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการใน 1 เดือน


รัฐบาลเสนอขายโรงไฟฟ้าและระบบจ่ายไฟทั้งประเทศ และยกที่ดินในเวียงจันทร์ใช้หนี้จีน

“แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวในระยะสั้นคือ การรักษาทุนสำรองเงินตราต่างประเทศโดยการบันทึกการไหลออกของเงินตราต่างประเทศผ่านการเลื่อนการชำระหนี้และข้อตกลงแลกเปลี่ยนของเจ้าหนี้จีนอย่างต่อเนื่อง” นี่คือวิธีที่ลาวจะจัดการและเอาตัวรอดจากแรงกดดันจากการชำระหนี้ต่างประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี 2024

การเลื่อนการชำระหนี้ส่งผลให้ลาวผิดนัดชำระหนี้มูลค่า 670 ล้านดอลลาร์ หรือราว 24,354 ล้านบาท ในปี 2023 ซึ่งเพิ่มมูลหนี้เป็นดินพอกหางหมูสะสมจากการเลื่อนการชำระเป็น 1,200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 43,620 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2020 ตามสถิติของรัฐบาล

สำหรับวิธีการอื่นๆ ในการทำให้ผู้ให้กู้ชาวจีนได้สิ่งที่น่าจะทดแทนได้จากการใช้คืนหนี้ในรูปแบบของตัวเงินคือ การแลกเปลี่ยนหนี้เป็นทุน โดยรัฐบาลลาวเสนอให้ถือหุ้นใหญ่สุดในธุรกิจโรงไฟฟ้าและโครงข่ายการจ่ายไฟฟ้า ซึ่งเป็นระบบสาธารณูปโภคด้านพลังงานของรัฐที่ก็ติดหนี้อยู่จำนวนไม่น้อย และการยกที่ดินให้จีนสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษในนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศ

นักวิเคราะห์การเมืองที่ประจำอยู่ในเวียงจันทน์กล่าวโดยขอไม่เปิดเผยชื่อว่า “การแลกหนี้เป็นทุนกับบริษัทจีนนั้นมีความอ่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากรัฐบาลถูกตำหนิเรื่องการทุจริตและการบริหารจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาดอยู่แล้ว การกระทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลโกรธแค้นมากขึ้นไปอีก”