เชื่อว่าทุกวันนี้หลายคนตื่นมาพร้อมกับค่าฝุ่น PM 2.5 ที่พุ่งสูงเกินมาตรฐาน อากาศที่ควรจะหายใจได้เต็มปอด กลับเต็มไปด้วยมลพิษที่มองไม่เห็น ทั้งยังทำร้ายร่างกายได้ทุกครั้งที่หายใจเข้าไป เด็กเล็กต้องใส่หน้ากากแม้แต่ในห้องเรียน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะโรคทางเดินหายใจ
เราอยู่ในโลกที่ “ลมหายใจ” กลายเป็นสิ่งที่ต้องระวัง
และไม่ใช่เพียงแค่ใช้ชีวิตตามปกติอีกต่อไป
แต่ต้องป้องกันตัวเอง “จากอากาศที่ควรจะปลอดภัย”
และแค่การปลูกต้นไม้ อาจไม่พอ

ต้นไม้กับการเอาตัวรอดในเมืองฝุ่น
แค่ปลูกไม่พอ ต้องจัดให้ถูก
เราพูดถึงปัญหาฝุ่นนี้มาหลายปี แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีทางออกสำหรับปัญหานี้ ทั้งที่คำตอบบางส่วนอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด นั่นคือ “ต้นไม้” และไม่ใช่แค่การมีต้นไม้ แต่คือ ”การจัดวางต้นไม้ให้ถูกวิธี”
งานวิจัยล่าสุดจากทีม ETH Zurich ร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) เปิดเผยว่า รูปแบบการจัดต้นไม้ในเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องความร่มรื่นหรือสวยงาม แต่มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “อัตราการเสียชีวิต” ของคนในเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อากาศแย่ อุณหภูมิสูง และเต็มไปด้วยมลภาวะ เช่นเดียวกับเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่
ทีมนักวิจัยศึกษาข้อมูลจากประชากรกว่า 6 ล้านคนในสวิตเซอร์แลนด์ พบว่าคนที่อยู่ในย่านที่มีต้นไม้เยอะและจัดเรียงอย่างมีแบบแผน มีแนวโน้มจะเสียชีวิตน้อยกว่าคนที่อาศัยในย่านที่ต้นไม้กระจัดกระจาย
พูดง่ายๆ คือ “ต้นไม้ช่วยชีวิต” ได้จริง แต่ไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้ให้เยอะ แต่ต้อง “วางต้นไม้ให้ถูกที่ ถูกทาง” ด้วย
เพราะต้นไม้ไม่ใช่แค่ให้ร่มเงา แต่ยังช่วยกรองฝุ่น กักเก็บคาร์บอน ลดอุณหภูมิริบตัว และทำให้คนรู็สึกสงบ ผ่อนคลาย หายใจได้เต็มปอดมากขึ้นในแต่ละวัน โดยเฉพาะในเมืองที่ร้อนอบอ้าวและแออัด ต้นไม้กลายเป็นเสมือนยาที่ธรรมชาติสร้างมาให้เราใช้ แต่เรากลับปล่อยให้มันถูกมองข้าม

3-30-300
แนวคิดที่ทำให้ต้นไม้กลายเป็น
“สิ่งจำเป็นในชีวิตเมือง”
ประเทศไทยเองก็เผชิญกับปัญหานี้มานาน แต่กลับไม่ค่อยมีใครพูดถึง “การจัดวางต้นไม้” อย่างจริงจังในระดับผังเมือง ทั้งที่มันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ รัฐบาลไทยอาจมีโครงการปลูกต้นไม้ในบางช่วงเวลา โหมประชาสัมพันธ์กันครึกโครม แต่คำถามสำคัญคือ ต้นไม้เหล่านั้น “ปลูกไว้เพื่อใคร?” อยู่ตรงไหน? คนเข้าถึงได้หรือเปล่า? หรือสุดท้ายมันก็กลายเป็นเพียงมุมเขียวเล็กๆ ที่ใครๆ ก็ไม่คิดจะเดินเข้าไป
ลองมองไปรอบตัว ในกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ เราเห็นต้นไม้ใช่ไหม? ใช่ แต่แค่มองเห็นต้นไม้ กับการได้ “ใช้ประโยชน์” จากต้นไม้นั้น มันคนละเรื่อง เราเดินออกจากบ้านแล้วรู้สึกเย็นขึ้นไหม? เดินไปโรงเรียนหรือที่ทำงานแล้วมีร่มเงาไหม? เราหายใจได้เต็มปอดไหม? เชื่อว่าคำตอบของหลายคนอาจคือ “ไม่” และนี่คือปัญหาที่รัฐบาลควรหันกลับมามองอย่างจริงจัง เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องต้นไม้เพื่อตกแต่งเมืองให้สวยในภาพถ่าย แต่มันคือ “คุณภาพชีวิตของประชาชน”
ในต่างประเทศ เริ่มมีการนำแนวคิด “3-30-300” มาใช้ในการวางผังเมือง คือ ทุกคนควรมองเห็นต้นไม้ 3 ต้นจากบ้านตัวเอง อยู่ในย่านที่มีร่มเงาจากต้นไม้ 30% และเดินถึงสวนสาธารณะในระยะไม่เกิน 300 เมตร กฎนี้เรียบง่าย แต่มีพลัง เพราะมันคือการเปลี่ยนต้นไม้จากของไกลตัว ให้กลายเป็น “สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน” ที่สัมผัสได้จริง ไม่ใช่แค่ในโปสเตอร์
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลไทยจะมองเรื่องต้นไม้ให้ลึกกว่าการนับจำนวนต้นที่ปลูก? เพราะต้นไม้ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อม แต่มันคือ “นโยบายสุขภาพ” ที่ช่วยลดการเสียชีวิต มีโอกาสรอดพ้นจากความเสี่ยงของโรค และทำให้ผู้คนในเมืองมีโอกาส “อยู่รอด” อย่างมีคุณภาพท่ามกลางโลกที่ร้อนขึ้นทุกวัน
เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่เราต้องการ อาจไม่ใช่แค่แอร์เย็นๆ หรือตึกสูงทันสมัย แต่คือต้นไม้ดีๆ ที่ปลูกอย่างฉลาด วางอย่างมีแบบแผน เพื่อให้เมืองนี้ไม่ใช่แค่บ้านที่เราอยู่ แต่เป็นบ้านที่เรา “อยากอยู่” บ้านที่ทำให้เราหายใจได้เต็มปอดทุกวันๆ
อ้างอิง


