ประเทศไทยสิ้นสุดฤดูร้อน และเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม ตามการประกาศอย่างเป็นทางการของกรมอุตุนิยมวิทยา ฤดูแห่งผ้าที่ไม่แห้งแม้จะตากมาแล้ว 2 วัน, ฤดูแห่งฝนราชการ, ฤดูแห่งฝนเวลาเลิกงานกลับมาแล้ว การใช้ชีวิตของคนไทยลำบากขึ้นแน่ ๆ
แต่รู้หรือไม่ ? นอกจากฝนจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนไทยแล้ว ฝนยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
ข้อมูลจาก ‘สำนักงานลดความเสี่ยงภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า UNDRR ระบุความน่ากลัวของฝนว่า จากการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ที่เมืองพอทสดัม (เยรอมัน) พบว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะลดลงเมื่อจำนวนวันที่ฝนตกหนักมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศร่ำรวยจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
และหากลงลึกไปที่ในภาคธุรกิจ จากรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Nature วารสารด้านวิทยาศาสตร์ที่ถูกอ้างอิงมากที่สุดฉบับหนึ่งของโลกระบุว่า ‘ภาคการผลิต’ และ ‘ภาคบริการ’ จะได้รับผลกระทบจากฝนมากที่สุด ซึ่งเป็นผลการศึกษาที่ถูกวิเคราะห์จากข้อมูลที่เก็บมาจากทั้ง 1,500 ภูมิภาคทั่วโลก เป็นเวลานานกว่า 40 ปี
‘ลีโอนี่ เวนซ์’ (Leonie Wenz) หัวหน้าโครงการที่ทำการศึกษาเรื่องฝนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ยังอธิบายเพิ่มเติมถึงผลกระทบของฝนต่อเศรษฐกิจว่า
“นอกจากฝนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศร่ำรวย เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือเยอรมนี ฝนยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอีกด้วย เศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวจากวันที่มีฝนตกหนัก เรามักประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ แต่คำถามคือแล้วฝนหละ ฝนกระจายตัวอย่างไรในแต่ละปี”
เรื่องนี้มุมหนึ่งก็สะท้อนว่านักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศ ในกลุ่มประเทศที่เจริญแล้วช่างจริงจังและก้าวหน้ากับการศึกษาและวิจัยจริง ๆ ซึ่งหากเรามองนอกกระดาษ มองนอกผลการวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ผู้เขียนขกยกตัวอย่างประเทศร่ำรวยที่ได้รับผลกระทบจากฝนโดยตรงให้เห็นกันดังนี้
เมื่อปี 2567 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รัฐดูไบ รัฐที่มีสภาพอากาศร้อนและแห้ง แบบทะเลทราย ไม่ค่อยมีฝน จู่ ๆ ก็เผชิญเหตุการณ์ฝนตกหนักผิดแปลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหตุการณ์ฝนถล่มครั้งนั้นทำน้ำท่วมถนน บ้านเรือนได้รับความเสียหาย โครงสร้างพื้นฐานเสียหาย เกิดเป็นภาพที่ขัดกับภาพลักษณ์ของดูไบเมืองที่เต็มไปด้วยความหรูหรา
ภาพความน่ากลัวของฝนถล่มดูไบแพร่กระจายไปทั่วโลก
เหตุการณ์ฝนตกหนักครั้งนั้นทำให้เกิดผลกระทบกับภาคการท่องเที่ยวของดูไบตามมา สนามบินเผชิญกับสถานการณ์หยุดชะงัก สายการบินต้องระงับการบิน ภาคธุรกิจและโลจิสติกส์เป็นอัมพาต การประชุมและการเจรจาทั้งหมดในประเทศถูกยกเลิก
จะเห็นว่าฝนตกสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะกับประเทศที่ไม่ค่อยเผชิญกับสภาพภูมิอากาศแปรปรวน แต่ต่อให้เป็นประเทศไทยที่พร้อมรับมือ (เคยชิน) กับฝนก็ยังได้รับผลกระทบเช่นกัน เห็นได้จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเปิด MDPI
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร MDPI ในชื่อหัวข้อ “ผลกระทบของฝนต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย” ส่วนหนึ่งของข้อค้นพบคือ ฝนส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ (significant negative impact) ต่อภาคการเกษตรและภาคบริการของประเทศไทย (นี่เอาแค่เรื่องฝน ไม่รวมเรื่องน้ำท่วมนะ)
หรือหากเรามองผลกระทบของฝนให้ใกล้ตัวที่สุด อยากให้คุณผู้อ่านนึกภาพตามดังนี้
ในวันหยุดที่อากาศดี เราก็มีแนวโน้มที่จะเดินทางไปพักผ่อนในที่ต่าง ๆ การพักผ่อนนำมาซึ่งเงินหมุนเวียน ตั้งแต่โลจิสติก ไปจนถึงธุรกิจต่าง ๆ แต่พอวันที่ฝนตกหนัก พ่อค้าแม่ค้าก็ทำมาค้าขายไม่ได้ ผู้คนก็ต้องเก็บตัวอยู่แต่ห้อง และจากงานวิจัยที่ยกมาข้างต้น ยิ่งมีจำนวนวันที่ฝนตกหนักเพิ่มมากขึ้น ผลกระทบต่อการหมุนเวียนของเงินในระบบก็มีเพิ่มมากขึ้นตาม นำมาซึ่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ให้เกิดความผิดแปลกของฝน, ความผิดแปลกของฤดูมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มีรายงานหนึ่งที่ตีพิพม์ในวารสาร Nature ระบุว่าในศตรรษที่ 21 ปริมาณน้ำฝน, จำนวนวันที่ฝนตกหนัก, และปริมาณน้ำท่วม ในทุกภูมิภาคภาคทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รุนแรงขึ้น
ผู้เขียนเชื่อว่าหน่วยงานที่มีอำนาจ องค์กรที่เกี่ยวข้องและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกน่าจะทำงานกันในเบื้องหลังด้าน SDGs เพื่อรับมือและแก้ปัญหา Climate Change กันอยู่อย่างเต็มที่ เราในฐานะคนไทยตัวเล็ก ๆ จากนี้อย่าลืมตรียมพร้อมรับมือกับฤดูฝน ไปทำงานอย่าลืมพกร่ม พกชุดกันฝน พกถุงพลาสติกเล็ก ๆ ติดกระเป๋า และแน่นอนต้องเตรียมใจด้วย เพราะผ้าที่ตากไว้อาจใช้เวลานานกว่าปกติกว่าจะแห้ง
อ้างอิง


