“สงครามส่งด่วน” ภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของ “Flash Express” ซึ่งก่อตั้งโดยชายที่ชื่อว่า “คมสัน ลี” หนุ่มจากดอยวาวี จ.เชียงราย ที่วันนี้เขาคือมหาเศรษฐีที่มีมูลค่ามากว่า 70,000 ล้านบาทจากธุรกิจ #ส่งด่วน ที่นับว่าการแข่งขันในตลาดนี้มีความดุเดือดจากช่วงชิงความได้เปรียบของฐานลูกค้าที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตของธุรกิจ

แม้ในประเทศไทย Flash Express จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 15% เป็นรองจากไปรษณีย์ไทย และ Kerry Express

แต่สำหรับในฟิลิปปินส์ที่ Flash Express ได้เข้าไปลุยตลาดที่มีขนาดประชากรมากว่า 115 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 5% ต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้ความต้องการสินค้าจากร้านค้า E-Commerce ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจส่งด่วนในดินแดนพันเกาะแห่งนี้เติบโตอย่างร้อนแรงถึง 900% ในปี 2024

ข้อมูลจากรายงาน Philippines E-commerce Logistics Market Outlook to 2028 ของ Ken Research ระบุว่า Flash Express เป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในตลาดนี้ร่วมกับ J&T Express, YTO Express, NinjaVan, และ GoGo Xpress และเป็นหนึ่งใน “ผู้นำในอุตสาหกรรม” โลจิสติกส์ของฟิลิปปินส์ หลังจากที่เริ่มดำเนินการในปี 2021 และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการรับส่งพัสดุมากสุดถึง 10 ล้านชิ้นต่อวัน (ในวันปกติที่ 1 ล้านชินต่อวัน) รวม 300 ล้านชิ้นในปี 2024 ซึ่งทำให้ขึ้นแท่นเป็นบริษัทด้านโลจิสติกส์ชั้นนำในฟิลิปปินส์

ปัจจุบันบริษัทสามารถขยายพื้นที่ให้บริการได้ถึง 95% ทั่วประเทศแม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะน้อยใหญ่ถึง 7,107 เกาะ โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี บริษัทมีศูนย์คัดแยก 28 แห่ง ศูนย์กระจายสินค้า 736 แห่ง ศูนย์กระจายสินค้าแบบรับสินค้า 27 แห่ง และสาขา Flash Home 2,025 แห่งทั่วประเทศ จำนวนพนักงานรวมทั้งสิ้น 27,765 คน แบ่งเป็นพนักงานประจำประมาณ 22,000 คน โดยเป็นพนักงานฝ่ายปฏิบัติการ (Operations Staff) ประมาณ 18,000 คน และมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มจำนวนพนักงานอีก 50% ในปี 2025 เพื่อรองรับความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด

สำหรับตลาด Freight and Logistics ของฟิลิปปินส์มีมูลค่าประมาณ 19,160 ล้านดอลลาร์ หรือ 6.38 แสนล้านบาทในปี 2024 ซึ่งก่อนที่ Flash Express จะเข้ามาในตลาดฟิลิปปินส์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ท้องถิ่นและต่างชาติหลายรายได้ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มบริการ Courier, Express, and Parcel (CEP) และบริการขนส่งสินค้าโดยรวม

โดยทั่วไปแล้วบริษัทที่ครองตลาดและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในฟิลิปปินส์ก่อนที่ผู้เล่นหน้าใหม่จะเข้ามาจะเป็นบริษัทท้องถิ่นได้แก่

LBC Express: ถือเป็นบริษัทโลจิสติกส์ที่เก่าแก่และเป็นที่รู้จักมากที่สุดของฟิลิปปินส์ มีเครือข่ายที่กว้างขวางครอบคลุมทั่วประเทศและบริการที่หลากหลาย ทั้งการขนส่งพัสดุ เงินโอน และคาร์โก้ LBC มีประวัติยาวนานและเป็นที่เชื่อถือในหมู่ชาวฟิลิปปินส์

2GO Group, Inc.: เป็นหนึ่งในบริษัทโลจิสติกส์และการขนส่งแบบบูรณาการที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ ให้บริการทั้งทางเรือ ทางบก และทางอากาศ รวมถึงบริการโลจิสติกส์ครบวงจร 2GO มีบทบาทสำคัญในการขนส่งสินค้าและพัสดุขนาดใหญ่ภายในประเทศ.

นอกจากนี้ ยังมีผู้เล่นรายอื่นๆ ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สำคัญในแต่ละเซ็กเมนต์ก่อนหน้านั้น เช่น:

  • PHLPost (Philippine Postal Corporation): ไปรษณีย์ของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ.
  • JRS Express: ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุอีกรายที่เป็นที่นิยมในฟิลิปปินส์
  • AP Cargo Logistics Corporation: มุ่งเน้นไปที่บริการคาร์โก้และโลจิสติกส์

แต่การเข้ามาของบริษัทจากต่างประเทศทั้ง “J&T Express” จากอินโดนีเซียที่เข้ามาในปี 2019 และ Flash Express ในปี 2021 ได้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงในภาคธุรกิจนี้ ด้วยบริการขนส่งที่รวดเร็วกว่า เข้าถึงพื้นที่ไวกว่าผ่านกลยุทธ์แบบ Door to Door และเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า ทำให้ผู้ให้บริการท้องถิ่นต้องเร่งปรับตัวอย่างหนักเพื่อดึงฐานลูกค้าเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานเรื่องคุณภาพและเทคโนโลยีของบริษัทข้ามชาติได้ ทำให้ตอนนี้ J&T Express และ Flash Express ต่างกำลังแย่งกันเพื่อขึ้นเป็นอันดับ 1 ในฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ Flash Express ยังตั้งเป้าไปที่เวียดนามอีกด้วย เนื่องจากตลาดอีคอมเมิร์ซของเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็วคาดว่าจะมีมูลค่า 32,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 เท่ากับประเทศไทย ตามรายงานของ Google บริษัทการลงทุน Temasek และบริษัทที่ปรึกษา Bain & Company ซึ่งจะเป็นการขยายตัว 37% ตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งถือเป็นอัตราที่เร็วที่สุดในบรรดาเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด 6 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ด้วย

โดยสรุป Flash Express แม้จะไม่ได้เป็นเบอร์ 1 ในตลาดบ้านเกิดอย่างไทย แต่กำลังสยายปีกแข่งกับบริษัทอื่นๆ ในต่างประเทศเพื่อช่วงชิงความเป็นที่ 1 หรือไม่ก็เป็นเบอร์ต้นๆ ของประเทศนั้น โดยในฟิลิปปินส์กำลังประสบกับการเติบโตอย่างรวดเร็วโดยได้รับแรงหนุนจากตลาดอีคอมเมิร์ซที่ขยายตัวอย่างมาก และการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเครือข่ายและเทคโนโลยี แม้จะไม่มีตัวเลขรายได้ที่ชัดเจนสำหรับฟิลิปปินส์โดยเฉพาะ แต่การที่บริษัทแม่โดยรวมสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 940 ล้านบาท จากรายได้รวม 24,728 ล้านบาท และตั้งเป้าปริมาณพัสดุจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินงานในตลาดสำคัญอย่างฟิลิปปินส์

ที่มา : NIKKEI Asia