ฤดูร้อนกำลังจะเคลื่อนเข้ามาอีกครั้ง นับเป็นช่วงเวลาที่แฟนเพลงและนักวิจารณ์เพลงต่างจับจ้องว่าเพลงไหนจะเป็น ‘ที่สุดของฤดูร้อนนี้’ จากแนวโน้มของเพลงในฤดูร้อนที่ผ่านมาสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในโลกดนตรีที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการหันมาให้ความสำคัญกับเพลงที่ “สั้น กระชับ และฟังง่าย” มากกว่าเดิม
สำหรับปีนี้ เพลงที่จะกลายเป็นเพลงดังประจำฤดูร้อนน่าจะมีความยาวที่สั้นและฟังง่าย หากลองดูสองอัลบั้มที่ได้รับความนิยมเมื่อฤดูร้อนที่แล้วอย่าง “Short n’ Sweet” ของ Sabrina Carpenter นักร้องป๊อปชาวอเมริกัน ซึ่งชื่ออัลบั้มก็บอกแล้วว่าเพลงนั้นสั้นและหวานสมชื่อ ส่วนอัลบั้ม “Brat” ของ Charli XCX นักร้องชาวอังกฤษก็เต็มไปด้วย เพลงที่ยาวเพียงแค่ประมาณสองนาทีเท่านั้น
ด้าน Spotify คาดว่าเพลงที่จะครองตลาดในฤดูร้อนนี้จะมีความยาวไม่ถึง 3 นาที แต่จากการวิเคราะห์ของ The Economist จากเพลงที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งเกือบ 1,200 เพลง ได้บ่งบอกว่าความสั้นของเพลงไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤดูกาล หากดูค่าเฉลี่ยชาร์ตเพลงที่ติดอันดับ Billboard Hot 100 พบว่ามีความยาวลดลงถึง 18% จาก 4 นาที 22 วินาที ในปี 1990 เหลือ 3 นาที 34 วินาทีในปี 2024 ซึ่งเป็นความยาวที่สั้นที่สุดนับตั้งแต่ปี 1960
“Don’t bore us, take it to the chorus” คือท่อนหนึ่งในเพลง “Like Jennie” ของศิลปินชาวเกาหลีใต้ ‘Jennie’ เพลงนี้มีความยาวเพียง 2 นาที 3 วินาที ซึ่งท่อนนี้ก็ได้สะท้อนความเป็นเพลงยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน ที่ควรดึงความสนใจผู้ฟังให้เร็วขึ้น และไม่ยืดเยื้อ
ความยาวของเพลงได้รับอิทธิพลมาจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ในช่วงศตวรรษที่ 20 เพลงมักจะมีความสั้น เพราะแผ่นเชลแลกและแผ่นไวนิลสามารถบันทึกเพลงได้แค่ 3 ถึง 5 นาทีต่อด้าน แต่เมื่อเทปคาสเซ็ตเข้ามาในปี 1960 และแผ่นซีดีในปี 1980 ทำให้ศิลปินสามารถทำเพลงได้ยาวขึ้น เช่นเพลง “Hotel California” (1977) และ “Sweet Child O’ Mine” (1988) ที่มีความยาวถึง 6-7 นาที ความยาวของเพลงยังคงยาวนานอยู่ตลอดในช่วง 1990 แต่เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล ความยาวของเพลงก็กลับมาสั้นลงอีกครั้ง
อุตสาหกรรมสตรีมมิ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เพลงมีความยาวสั้นลง เพราะศิลปินจะได้เงินทุกครั้งที่เพลงถูกฟังผ่านสตรีม แต่ต้องฟังอย่างน้อย 30 วินาทีถึงจะนับเป็นยอดสตรีม ส่งผลให้ผู้ผลิตเพลงต้องทำเพลงให้กระชับมากขึ้น โดยเริ่มเพลงด้วยอินโทรสั้น ๆ และเข้าสู่ท่อนฮุคเร็วขึ้น เพื่อดึงดูดผู้ฟังตั้งแต่ต้น โปรดิวเซอร์ Bart Schoudel ที่ร่วมทำอัลบั้ม ‘Brat’ ให้กับ Charli XCX กล่าวว่า “เพลงที่ยิ่งสั้น ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับยอดสตรีมมากขึ้น”
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เพลงสั้นลงคืออิทธิพลของ TikTok พบว่าเพลงกว่า 75% ที่ติดอันดับ 40 เพลงฮิตของอังกฤษ เคยกลายเป็นไวรัลในแอปวิดีโอสั้นนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ฟังบางส่วนในโลกออนไลน์กลับไม่เห็นด้วยกับเทรนด์นี้ พวกเขารู้สึกว่าเพลงถูกทำให้สั้นเกินไปเพียงเพื่อต้องการกระแสใน TikTok มากกว่าที่จะเน้นคุณภาพของเพลงอย่างแท้จริง
Adam Read หัวหน้าฝ่ายบรรณาธิการด้านดนตรีของ TikTok ในสหราชอาณาจักร ชี้ว่า TikTok ไม่ได้สนับสนุนแค่เพลงสั้นเท่านั้น แต่ยังช่วยผลักดันเพลงที่มีความยาวทุกรูปแบบด้วย ตัวอย่างเช่น เพลง “Messy” ของ Lola Young ที่มีความยาวกว่า 5 นาที ก็ยังได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มนี้เช่นกัน แสดงให้เห็นว่าเพลงที่ยาวก็สามารถได้รับความนิยมได้ใน TikTok หากเนื้อหาโดนใจผู้ฟัง
เพลงที่มีความยาวสั้นลงมักถูกมองว่าเป็นสัญญาณของรสนิยมทางดนตรีที่เสื่อมถอยลง บางเพลงถึงกับถูกวิจารณ์ว่าเป็น “ขยะ” เช่นเพลง “Steve’s Lava Chicken” จากภาพยนตร์ A Minecraft Movie ที่มีความยาวแค่ 34 วินาที แต่กลับสามารถทำลายสถิติ กลายเป็นเพลงที่สั้นที่สุดที่เคยติดชาร์ต Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เพลงสั้นอาจไม่ได้แย่เสมอไป ยังมีเพลงสั้นอีกหลายเพลงที่ชวนให้น่าฟัง อย่างเพลง “Hit The Road Jack” (1961) ที่มีความยาวเพียง 2 นาที แต่ก็ยังสามารถสร้างจังหวะที่ชวนให้คนฟังขยับตามได้
การทำเพลงให้สั้นลงก็เหมือนกับการตัดเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ นั่นคือการตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้เนื้อหากระชับและน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับศิลปินหน้าใหม่ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย เพราะถ้าเพลงไม่ดึงดูดคนฟังตั้งแต่ในช่วงแรก ก็มีโอกาสสูงที่คนจะเลื่อนผ่านเพลงนั้นไปอย่างรวดเร็ว การทำเพลงให้สั้น กระชับ และเข้าถึงง่าย จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่จะเอาชนะความท้าทายนี้
สำหรับนักดนตรีที่อยากจะสร้างเพลงฮิตในหน้าร้อนครั้งถัดไป อาจต้องลองดูตัวอย่างจากการทำเพลงในแบบของ Sabrina Carpenter ที่ทำทุกอย่างให้ “Short and Sweet”
เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็ต้องสั้น กระชับไปซะหมด เรากำลังอยู่ในยุคสมัยแบบนี้แหละ
อ้างอิง : The Economist


