ในโลกของการลงทุน หลายคนต้องเคยได้ยินหรือรู้จักชื่อของ ‘วอเรนต์ บัฟเฟตต์’ เป็นอย่างดี ผู้เขียนเข้าสู่โลกของการลงทุนผ่านหนังสือที่ชื่อว่า ‘Buffettology’ (ชื่อไทย ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์) ในหนังสือเล่มดังกล่าวคุณปู่บัฟเฟตต์แนะนำว่าถ้าจะลงทุนอะไร ให้ลงทุนในธุรกิจที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมฝั่ง เป็นธุรกิจที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังเป็นที่ต้องการ เป็นที่ใช้งานของคน

หนึ่งในตัวอย่างธุรกิจที่พอจะเห็นภาพได้ทันทีคือ ‘ธุรกิจสนามบิน’ คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องมีการเดินทางไปมาระหว่างประเทศแน่ ๆ (ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนปีโควิด-19 ระบาด) และเครื่องบินทุกลำก็ต้องมาลงจอดที่สนามบิน เป็นสะพานเชื่อมสำคัญระหว่างทุก ๆ การเดินทางเข้าประเทศด้วยโลหะเหล็กมีปีกที่หนักเกือบ 100 ตัน

แต่ดูเหมือนในยุคสมัยนี้ อะไรที่ว่าแน่นอนก็ไม่แน่นอน ดั่งคำพระที่กล่าวว่า ‘ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน’ เพราะปัจจุบันธุรกิจสนามบินในไทยกำลังเผชิญทั้งความท้าทายและเผชิญสัญญาณชะลอตัว ยิ่งกับสถานการณ์ข่าวที่ King Power อาจยกเลิกสัญญาเช่ากับ AOT อีก เห็นทีผู้เขียนอาจต้องเอาคำสอนของปู่วอเรนต์ บัฟเฟตต์ มาทบทวนใหม่เสียแล้ว

ธุรกิจสนามบินนี่เป็นอย่างไรนะ ?

ปัจจุบันประเทศไทยมีสนามบินให้บริการทั้งหมด 39 แห่ง โดยมี ’สุวรรณภูมิ’ และ ’ดอนเมือง’ เป็น 2 สนามบินหลัก (มีผู้โดยสาร 67% ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด) โดยรายได้ของธุรกิจสนามบินมาจาก

  • ส่วนที่เกี่ยวกับการบิน เช่นค่าบริการผู้โดยสาร และค่าสนามบิน และ
  • ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการบิน เช่น ค่าเช่าพื้นที่ รายได้จากสัมปทาน หรือแม้แต่ค่าบริการเคาน์เตอร์เช็คอิน

ซึ่งในปี 2568 ธุรกิจสนามบินในไทยทำรายได้ถึง 80,700 ล้านบาท ถึงแม้จะสูง แต่กลับเป็นรายได้ที่เติบโตเพียงเล็กน้อยท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่ธุรกิจต้องเผชิญความท้าทายสูง และความซับซ้อนของโครงสร้างรายได้ที่ต่างออกไป เช่น ถ้าเป็นสนามบินขนาดเล็ก รายได้กว่า 80% จะมาจากรายได้ที่เกี่ยวกับการบิน แต่หากเป็นสนามบินขนาดใหญ่ รายได้ทั้ง 2 กลุ่มจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน

ต้องบอกว่าสนามบินแต่ละที่ แต่ละขนาด ต่างต้องบริหารจัดการตัวเองในรูปแบบที่ต่างกัน หมายความว่าหากเจอปัญหาหรือความท้าทายบินโฉบเข้ามา แม้จะเป็นปัญหาเดียวกันแต่ธุรกิจจะไม่มีสูตรสำเร็จในการรับมือ ผู้บริหารสนามบินไหนเก่งไม่เก่ง วัดกันตรงนี้แหละ

แล้ว ณ เวลานี้มีอะไรบ้างที่กำลังสั่นคลอนธุรกิจการบิน

จำนวนผู้โดยสารมีแนวโน้มลดลงกว่าที่ประเมินไว้

เรื่องนี้เป็นเพราะ 3 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่ เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศกระทบการเดินทางของคนทั่วโลก ในด้านของเศรษฐกิจโลก IMF คาดว่าจากเดิมที่เศรษฐกิจโลกอาจขยายตัว 3.3% อาจลดเหลือเพียง 2.8% หรือแม้แต่เศรษฐกิจประเทศไทยเองที่เผชิญหลายปัจจัยลบ ทำผู้คนลดการเดินทางลง

ไม่เพียงแต่ปัญหาด้านเศรษฐกิจ แต่ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ ก็กำลังส่งผลกระทบต่อการเดินทางของผู้คน ไม่ว่าจะจากการลดเที่ยวบิน การปิดเส้นทางการบินระหว่างประเทศ และสาเหตุประการสุดท้ายมาจากการแข่งขันของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะคู่แข่งของประเทศไทยที่กำลังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้บินหนีออกจากประเทศไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ

ยิ่งในสถานการณ์ที่ประเทศไทยมีแต่ข่าวที่กระทบภาพลักษณ์ประเทศแบบนี้ย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวไม่มากก็น้อย

ต้นทุนดำเนินงานสูง ท่ามกลางสถานการณ์รายได้ที่แม่แน่นอน

หนึ่งในต้นทุนที่ทุกสนามบินเจอคือ การปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการปรับปรุงสนามบิน เช่น การขยายอาคารรองรับผู้โดยสาร การขยายรันเวย์ การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้า ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนใช้เงินทุนสูง

ไม่เพียงแค่ค่าต้นทุนในการปรับปรุง แต่ยังมีต้นทุนแฝงที่เกิดจากการที่ทุกสนามบินในภูมิภาคล้วนแข่งขันกันพัฒนาเพื่อดึงดูดสายการบิน นำมาซึ่งต้นทุนด้านการบริการที่สูงขึ้น จนไปกินส่วนของกำไรที่สนามบินได้ ให้มีน้อยลง เช่น สนามบินสุวรรณภูมิมีแผนว่าจะทำให้อาคารผู้โดยสารสามารถรองรับผู้โดยสารให้ได้150 ล้านคนภายในปี 2574 จากเดิมที่รองรับได้ 62 ล้านคน แผนการดำเนินการนี้อาศัยต้นทุนสูงขึ้นมากแน่ ๆ ในการดำเนินงาน

หลาย ๆ องค์ประกอบ หลาย ๆ เหตุปัจจัยที่กล่าวมากำลังทำให้ธุรกิจสายการบินที่ว่าเคยมั่นคง เคยเป็นเหมือนเสือนอนกิน เป็นเหมือนสะพานเชื่อมฝั่งเริ่มที่จะแกว่งสั่นคลอน ธุรกิจอะไรที่ว่าแน่นอนก็เริ่มจะไม่แน่นอนเสียแล้วในยุคสมัยนี้

ที่มา : แนวโน้มธุรกิจสนามบินไทย, No.38 16 มิถุนายน 2568