Negative Income Tax The turning point for Thailand

Negative Income Tax จุดเปลี่ยนทางภาษีที่เข้ามาอุดรอยโหว่ประเทศไทย

ถ้ายังจำกันได้ ตอนแจกเงิน 10,000 บาท เราอาจจะเคยเห็นภาพคนไทยที่ ‘จนไม่จริง’ โพสต์รูปลงสื่อสังคมออนไลน์ว่าตนได้เงิน 10,000 บาท และกำลังจะนำเงินไปซื้อของต่าง ๆ ที่อยากได้ คนกลุ่มนี้เรียกว่า ‘คนอยากจน’ คือไม่ได้จนจริงแต่สร้างภาพ รอรับสวัสดิการต่าง ๆ จากรัฐ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย อธิบายว่าคนกลุ่มนี้อาจใช้วิธีการซ่อนรายได้ อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายบางวิธีเพื่อปกปิดรายได้

ซึ่งกลุ่มคน ‘อยากจน’ นี่แหละ ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สวัสดิการของรัฐที่ควรจะต้องไปถึงมือกลุ่มคนที่ต้องการจริง ๆ ไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือได้รับสวัสดิการที่ควรจะต้องได้

ปัญหานี้เกิดจากรัฐบาลไม่รู้จริง ๆ ว่าใครจนจริง ใครจนหลอก สิ่งที่รัฐบาลทำก็คือต้องแจกให้กลุ่มคนที่มาลงทะเบียนทัน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้แบบคร่าว ๆ เป็นการช่วยเหลือลักษะการให้อย่างถ้วนหน้าเท่ากัน ปัญหาก็อย่างที่กล่าวมา นอกเหนือจากสวัสดิการไม่ถึงมือคนที่ต้องการจริง ๆ แล้วยังทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณมหาศาลอีกด้วย (หว่านแจกทุกคนที่ผ่านเกณฑ์)

ดังนั้นการจะแก้ปัญหานี้ สาระสำคัญคือรัฐบาลต้องรู้ว่า ‘คนจนจริง’ อยู่ตรงไหน

รัฐบาลต้องมี ‘ข้อมูล’ ในมือ และด้วยการนี้เองที่รัฐบาลจึงจะเอาแนวคิดของ Negative Income Tax มาใช้งาน

Negative Income Tax เครื่องมือสำคัญอุดรอยโหว่ประเทศไทย

สรุปอีกครั้ง รอยโหว่ของระบบในประเทศไทยมีดังนี้

  • ไม่รู้ว่าคนที่จนจริง ๆ อยู่ตรงไหน รัฐบาลขาดข้อมูลเชิงลึกขนาดใหญ่
  • รายจ่ายของรัฐทางด้านสวัสดิการของไทยเพิ่มขึ้นทุกปี สวนทางรายได้
  • โครงการช่วยเหลือซ้ำซ้อน เพราะมีหลายฐานข้อมูล
  • มีคนไทยที่ไม่ได้จนจริง แต่รอรับสวัสดิการ

จากช่องโหว่ที่ถ้าไม่ปิดตาข้างเดียวก็จะมองเห็นแบบนี้ การเข้ามาของ Negative Income Tax (NIT) จะเป็นเหมือนยาแรงที่ช่วยแก้ปัญหา (ถ้าทำได้จริงตามทฤษฎี) โดยหลักการของ NIT คือ ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี และขอย้ำว่า ‘ยื่นแบบ ไม่เท่ากับ เสียภาษี’ ไม่ว่าใครจะรายได้เยอะรายได้น้อย ทุกคนยื่นเหมือนกันหมด

ซึ่งถ้าทุกคนในประเทศไทยยื่นแบบภาษีจริง ๆ รัฐบาลจะมีข้อมูลขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมคนไทยทุกคน รัฐบาลจะมีข้อมูลที่รู้ว่าคนจนจริงอยู่ตรงไหน คนที่ต้องการรัฐสวัสดิการจริง ๆ อยู่ตรงไหน พอรัฐบาลรู้แบบนี้ รัฐบาลก็จะสามารถมุ่งเป้าให้เงิน และให้สวัสดิการอื่นจากโครงการอื่น ๆ ได้อย่างตรงเป้า จากเดิมที่แจกอย่างถ้วนหน้า (Universal) ก็กลายเป็นแจกเฉพาะคนที่ต้องการ (Targeting) รัฐบาลก็จะประหยัดงบสวัสดิการมากขึ้น เอาไปทำอย่างอื่นต่อได้

มากไปกว่านันแนวคิดของ NIT คือเมื่อทุกคนยื่นแบบภาษี ใครที่รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ ถ้าฉายภาพคนไทยหลังการมาของ NIT เป็นกลุ่มต่าง ๆ จะเป็นดังนี้

  • 1) ยื่นภาษี เสียภาษีตากปกติ
  • 2) ยื่นภาษี แต่รายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี
  • 3) กลุ่มคน ‘อยากจน’ ที่ต้องถูกบังคับให้ยื่นภาษี คนกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบ ถ้าไม่กลายเป็นกลุ่ม 1) หรือ 2) ก็จะกลายเป็น 4) ไปเลย
  • 4) กลุ่มคนยากจน ถูกบังคับให้ยื่นภาษี และได้รับการประเมินว่ารายได้ไม่ถึงเกณฑ์ ได้รับเงินช่วยเหลือ

มองแบบนี้มีเพียงกลุ่มคนไทยที่เสียผลประโยชน์ (3) เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
ซึ่งแนวคิดหรือหลักการของ NIT หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกก็ใช้ระบบที่คล้าย ๆ กัน

ถึงชื่ออาจต่างแต่หลักคิดเหมือนกัน แก้ปัญหาความยากจนได้เหมือนกัน

NIT ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นแนวคิดที่มีการนำเสนอมาตั้งแต่ปี 1962 และในประเทศไทยเองก็เึยปรากฎการณ์ศึกษาเรื่องนี้มาแล้วตั้งแต่ปี 2556 การศึกษาดังกล่าวทำการศึกษาประเทศที่ใช้มาตรการลักษณะของ NIT ในบรรดา 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร อิสราเอล ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ สวีเดน แคนาดา และสิงคโปร์

ซึ่งผลที่ออกมาคือเป็นมาตรการที่นำมาแก้ปัญหาความยากจนได้ค่อนข้างดี ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงานของภาครัฐ และประเทศส่วนใหญ่ล้วนเชื่อมโยง NIT เข้ากับระบบภาษี ที่เป็นฐานข้อมูลที่แม่นยำและมีขนาดใหญ่

ซึ่งหลักการทำงาน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย อธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ ไว้ดังนี้

  • รัฐกำหนดเส้นรายได้ เช่น 100,000 บาทต่อปี
  • ถ้ารายได้มากกว่านี้ = จ่ายภาษีตามปกติ
  • ถ้ารายได้น้อยกว่านี้ = ได้รับเงินอุดหนุน
  • พอยื่นภาษี รัฐตรวจรายได้ ก็รู้ว่าคุณต้อง “จ่าย” หรือ “รับ” เท่าไหร่ ไม่ต้องวิ่งสมัครโครงการหลายอย่างให้เสียเวลา

ทว่าความท้าทายก็มีเช่นกัน

ประการที่ 1 คนไทยมีคนอยู่นอกระบบเยอะ และมีช่องทายการใช้เงินสด/รับเงินสด ที่อำนวยต่อการปิดปิดรายได้

ประการที่ 2 จะใช้ NIT แบบรายบุคคล หรือ แบบรายครัวเรือน เพราะเรื่องนี้จะส่งผลต่อการกำหนด เส้นรายได้

ประการที่ 3 เส้นรายได้มีหลักเกณฑ์ และหลักการคำนวณอย่างไร แบบไหนถึงจะเป็นเกณฑ์ที่เหมาะสมกับประเทศไทย

ประการที่ 4 รัฐบาลจะกำหนดอัตราการรับเงินโอนอย่างไร เพราะมีทั้งแบบคงที่ ช่วงขึ้นเขา-ลงเขา ที่เปลี่ยนแปลงไปตามรายได้ของผู้ที่จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล

ประการที่ 5 อาจมีคนไทยบางประเภท ที่เมื่อได้รับเงินสวัสดิการจากรัฐแบบคงที่ และไม่ยอมปรับฐานเงินเดือน เพราะกลัวจะรายได้เกินเกณฑ์ในข้อที่ 3 นำมาซึ่งการไม่ได้รับเงินสวัสดิการจากรัฐ ที่อาจจะให้เยอะกว่าฐานเงินเดือนที่ปรับขึ้นมา

จากนี้ Negative Income Tax จะเป็นอย่างไรต่อไปเราต้องคิดตามอย่างใกล้ชิด แต่นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษีต่างมองว่าปี 2570 จะเป็นจุดเปลี่ยนทางด้านภาษีของประเทศไทยอย่างแท้จริง

ถึงแม้มาตรการทางภาษีนี้จะดีแค่ไหน แต่สุดท้ายประชาชนคนไทยก็ยังมีข้อกังขากับเรื่องนี้ต่อรัฐบาลเช่นกัน เพราะมท้ายที่สุดคนไทยไม่ได้กลัวการจ่ายภาษี แต่แค่ต้องการเห็นผลลัพธ์จากการจ่ายภาษีต่างหาก ต้องการมั่นใจได้ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายให้กับรัฐบาลจะถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า และได้ผลลัพธ์กลับคืนที่จับต้องได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล เพราะตอนนี้ยังดูไม่เป็นแบบนั้น ห่างไกลจากความคาดหวังของประชาชน

ความคุ้มค่าของภาษีที่จ่ายจะต้องเป็นจุดที่รัฐบาล สามารถตอบประชาชนคนไทยได้ในเชิงประจักษ์ ผ่านหลักฐานที่เห็นเด่นชัด จับต้องได้ ไม่ใช่แค่การออกมาพูดปากเปล่าเฉย ๆ

ประชาชนสามารถตั้งคำถามถึงการใช้ภาษีอย่างคุ้มค่าได้เช่นกัน
คำถามนี้จะอยู่ตลอดไปและเกิดขึ้นเสมอเมื่อพูดถึงอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับภาษี

อ้างอิง
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย. Negative Income Tax: ไอเดียน่าสนใจ…แต่ต้องแก้ปัญหา “คนอยากจน”
ถนอม เกตุเอม. Income TAX กับการยื่นภาษี
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง. เงินโอน แก้จน คนขยัน

เด็กหนุ่มจากราชบุรี ที่ยังคงลองผิดลองถูกเสมอมา