“กรีก” ประเทศไทยแห่งยุโรป

หากจะเปรียบเทียบว่ามีประเทศใดในโลกที่คล้ายคลึงกับประเทศไทย ถ้าในเชิงการเมืองก็มักจะนึกถึงประเทศอิตาลี เพราะการเมืองแดนสปาเก็ตตี้แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยปัญหาดราม่าอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านเสถียรภาพไม่ต่างจากไทย แต่ยังโชคดีที่ภาคเอกชนแข็งแกร่ง นำพาประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้จนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ท็อป 5 แห่งยุโรป

แต่ถ้าหากเปรียบเทียบในเชิงสังคม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ประเทศที่นิยามตัวเองว่าเหมือนกับประเทศไทยในยุโรปก็คือ กรีซ อู่อารยธรรมกรีกโบราณนับพันปี ที่ปัจจุบันมีจุดขายด้านการท่องเที่ยวเป็นหลัก และในแต่ละปีต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเยือนมากกว่า 36 ล้านคน แรงงานและรายได้จากการท่องเที่ยวนับว่าเป็น 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจประเทศกรีซเลยทีเดียว

การเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญด้านการท่องเที่ยวนั้น อันที่จริงก็มีปัจัยมากมายที่ต้องแลกเช่นกัน โดยเฉพาะการเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงมากขึ้นในทุกๆ ด้าน ผลการศึกษาชี้ว่า ชาวกรีกมากกว่าครึ่งหนึ่งจะไม่ได้ไปเที่ยวพักร้อนในปีนี้ เนื่องจากรายได้เฉลี่ยยังคงต่ำ

ข้อมูลจากี่ท่าเรือเมืองไพรีอัส ที่เดินทางี่มุ่งหน้าไปยังเกาะต่าง ๆ ในอ่าวซาโรนิก ระบุว่า ปกติแล้วเวลา 5 โมงเย็นของวันในฤดูร้อน รถยนต์และรถบรรทุกจะต่อแถวเพื่อขึ้นเรือข้ามฟากไปยังเกาะเอกินา แต่ปีนี้ไม่เหมือนปีที่แล้วปริมาณรถยนต์ลดคง ผู้คนไม่ค่อยเดินทางกัน แม้การจราจรช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ยังหนาแน่นอยู่บ้าง แต่ยอดจำหน่ายตั๋วกลับลดลงไปครึ่งหนึ่ง

เกาะเล็ก ๆ ในอ่าวอาร์โก-ซาโรนิกที่อยู่ใกล้กรุงเอเธนส์ เช่น เอกินา เคยได้รับความนิยมของผู้คนท้องถิ่น เนื่องจากค่าโดยาสารเรือไม่แพงและสะดวกสบาย โดยปี 2024 มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 2 ล้านคน เดินทางไปยังเกาะนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวกรีกที่ต้องการไปพักผ่อนในราคาที่จับต้องได้

คอนสแตนตินอส ซานตัส ผู้ประกอบกิจการกีฬาทางน้ำบนเกาะเล่าว่า ปีที่แล้วช่วงสิงหาคม เก้าอี้ชายหาดตรงนี้ถูกจับจองหมดตั้งแต่ 10 โมงเช้า แต่ปีนี้กลับว่างเปล่า ไม่เพียงแต่ที่นี่ แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจแบบเดียวกันทั่วประเทศ ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่ายอดจองตกลงอย่างน่าใจหาย แม้ว่าจะเป็นเกาะเอกินาที่ถือว่ามีค่าใช้จ่ายถูกแล้วก็ตาม

ปีที่ชาวกรีกละทิ้งการไปพักผ่อนที่ทะเล

ปี 2025 ถูกมองว่าเป็นปีที่ชาวกรีกจำนวนมากจำใจละทิ้งธรรมเนียมไปเที่ยวทะเลในช่วงฤดูร้อน ทั้งที่การพักผ่อนริมชายหาดเปรียบเสมือนดังวิถีชีวิตประจำชาติของผู้คนในประเทศ แถมยังเป็นจุดเริ่มต้นแห่งแรงบันดาลใจของบทเพลง บทกวี และภาพยนตร์ แต่ในตอนนี้ปัญหาเรื่องค่าครองชีพกลับทำให้ความสุขนั้นเลือนหายไป

อิสมินี บาลาเล วัย 28 ปี พนักงานห้างค้าปลีกที่มีรายได้เพียงเดือนละ 850 ยูโร (32,018 บาท) บอกว่า “ฉันอยากไปเที่ยวที่อามอร์กอส แต่ค่าใช้จ่ายเดินทางไปเกาะที่ไกลขนาดนั้นเกินเอื้อมจริง ๆ จะให้ฉันจ่ายค่าห้องพักคืนละ 200 ยูโร (7,533 บาท) ได้อย่างไร?

สถิติจาก Eurostat สอดคล้องกับผลวิจัยของ EEKE (สหภาพผู้บริโภคแรงงานกรีก) โดยพบว่า 46% ของชาวกรีกไม่สามารถจ่ายค่าไปพักร้อน 1 สัปดาห์ได้ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปถึง 19%

เอเธนส์ : คนแน่น ไม่ออกไปเที่ยวพักผ่อนต่างเมือง

ภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในกรุงเอเธนส์ในเดือนสิงหาคมคือ ระบบขนส่งสาธารณะผู้โดยสารล้น การจราจรติดขัด ตั๋วโรงหนังกลางแจ้งขายหมดเกลี้ยง และบาร์รวมถึงร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเต็มไปด้วยวัยรุ่นชาวกรีกที่ไม่ได้มีโอกาสออกไปเที่ยวตามเมืองท่องเที่ยวนอกเมืองหลง

“รัฐบาลพูดถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ตัวเลขเหล่านั้นไม่เคยสะท้อนความเป็นจริงในชีวิตคนอย่างฉันเลย และฉันก็ไม่คิดว่ารัฐบาลจะใส่ใจนัก”

ทาคิส คาลอโฟนอส ที่ปรึกษาการเงินของ EEKE ให้ข้อมูลที่น่าสังเกตถึงผลวิจัยที่ระบุว่าว่าชาวกรีก 1 ใน 2 จะไม่ได้ไปเที่ยวพักร้อนในปีนี้ เมื่อ 10 ปีก่อน คนยังสามารถลาพักได้ 20–30 วัน แต่ปีนี้เหลือไม่ถึงสัปดาห์ เกาะไซคลาดิกและเกาะห่างไกลกลายเป็นความฝันสำหรับหลายครอบครัว แต่ใครจะจ่ายค่าโดยสารเรือ 450 ยูโร (16,951 บาท) สำหรับครอบครัว 4 คนพร้อมรถยนต์ได้ ในเมื่อเงินเดือนเฉลี่ยเพียง 1,342 ยูโร (50,551 บาท) ต่อเดือนเท่านั้น?

การท่องเที่ยวที่เฟื่องฟู แต่คนท้องถิ่นถูกกีดกัน

วัฒนาธรรมการไปเที่ยวพักผ่อนในช่วงวันพระแม่บรรทม (Dormition of the Virgin Mary) ซึ่งเป็นการสมโภชใหญ่ ในคริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์, โอเรียนทัลออร์ทอดอกซ์ และคาทอลิกตะวันออก โดยเป็นการเฉลิมฉลองการ “บรรทมหลับ” ของแม่พระมารี เทโอโทโกส และการรับพระนางเข้าสู่สวรรค์ ในวันที่ 15 สิงหาคมของทุกปี ได้ถูกลดเหลือเพียงการไปเยี่ยมญาติหรือเพื่อนในหมู่บ้านบนแผ่นดินใหญ่แทน

ความย้อนแย้งคือ เหตุผลที่ทำให้กรีซเป็นจุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก กลับเป็นเหตุผลที่ทำให้คนกรีกเองไม่สามารถเข้าถึงการท่องเที่ยวได้ โดยปี 2024 กรีซต้อนรับนักท่องเที่ยวถึง 36 ล้านคน หรือเกือบ 4 เท่าของจำนวนประชากร สร้างรายได้กว่า 21,700 ล้านยูโร (8.17 แสนล้านบาท) ช่วยให้เอเธนส์ลดหนี้สาธารณะจาก 180% ของ GDP ในช่วงที่เกิดวิกฤตหนี้ร้ายแรงลงมาเหลือ 153.6%

แต่แม้การท่องเที่ยวจะสร้างงานให้ 1 ใน 5 ของประชากร และเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจหลัก ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมราคาที่สูงขึ้นทุกด้าน ขณะที่ค่าแรงกลับไม่ขยับตาม เงินเฟ้อสูงกว่าหลายประเทศในสหภาพยุโรป ทำให้ค่าครองชีพพุ่งอย่างหนัก จนแม้แต่ผู้ที่สามารถเก็บเงินได้ ก็บอกว่าการไปเที่ยวต่างประเทศยังถูกกว่าพักผ่อนในกรีซเสียอีก

ความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน

ผลสำรวจของ Alco เมื่อเดือนมิถุนายนชี้ว่า ค่าที่พัก ค่าเรือเฟอร์รี่ และราคาอาหารในร้าน คืออุปสรรคใหญ่ในการเดินทางของชาวกรีซ

ศาสตราจารย์คริสตอส พิเตลิส ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตัน กล่าวว่า ชาวกรีกถูกผลักออกจากประเพณีและวัฒนธรรมการพักร้อนช่วงเดือนสิงหาคม เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ทำให้ประสบการณ์การท่องเที่ยวพักผ่อนี้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนไม่สามารถเอื้อมถึง

ชนชั้นกลางที่เคยได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการรัดเข็มขัดหลังวิกฤตหนี้สาธารณะเมื่อ 10 ปีก่อน ยังคงรู้สึกเจ็บปวด นายกรัฐมนตรี คีเรียกอส มิทโซตากิส กล่าวว่าจะมีมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยให้คำมั่นว่าจะลดภาษีและปรับขึ้นค่าแรงเฉลี่ยต่อเดือนเป็น 1,500 ยูโร (56,503 บาท) ภายในปี 2027

แต่ในมุมมองของคนกรีก ความจริงอันแสนเจ็บปวดกว่าคือ ชาวต่างชาติสามารถเพลิดเพลินไปกับความงดงามและเสน่ห์ของประเทศได้เต็มที่ ในขณะที่คนท้องถิ่นกลับได้แต่ระลึกถึงในความทรงจำ

“เราคือ ‘ประเทศไทยแห่งยุโรป’ เราให้บริการเพื่อให้คนอื่นมีความสุข ขณะที่คนต่างชาติมาใช้ชีวิตตามฝันในกรีซ เรากลับต้องเผชิญกับความจริงที่เจ็บปวด ใครจะอยากไปเที่ยวพักผ่อนกันล่ะ ในเมื่อเรากำลังเผชิญกับ ค่าไฟฟ้า และค่าครองชีพทุกอย่างขึ้นราคา ตอนนี้หลายคนเริ่มตาสว่างแล้วว่า การที่เราไม่สามารถไปเที่ยวพักผ่อนสักหนึ่งสัปดาห์ได้ มันหมายความว่าพวกเราชาวกรีกต่างหากคือผู้แพ้ตัวจริง”

ที่มา : The Guardian