เมื่อผู้คนคุยกับพระเจ้าผ่าน AI
มาวันนี้ปี 2025 AI สามารถช่วยงานเราได้ในหลากหลายกิจกรรม ช่วยงานเราได้ในหลายรูปแบบ และเป็นได้หลายอย่าง เป็นทั้งผู้ช่วยส่วนตัวหรือมากไปกว่านั้นกับการเป็นผู้ช่วยเฉพาะสำหรับบริษัทใดบริษัทหนึ่งผ่านการเทรนปัญญาประดิษฐ์ด้วยฐานข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง
แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรานำเอา AI ไปเทรนด้วยพระคัมภีร์ ?
ถ้าคุณคือหนึ่งในคนที่กำลังหลงทาง รู้สึกชีวิตนี้ต้องการที่พึ่งทางใจและอยากหันไปหาศาสนา แต่ไม่อยากไปเข้าวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบเดิม ๆ ‘GitaGPT’ คือที่พึ่งใหม่ทางจิตวิณญาณแห่งยุคสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู เรื่องนี้เกิดขึ้นที่อินเดีย
GitaGPT ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกเทรนด้วยคัมภีร์ภควัทคีตา
GitaGPT คือปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกเทรนด้วย ‘ภควัทคีตา’ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของชาวอารยัน ที่ประกอบไปด้วยบทกวี 700 บท ผู้ที่พิมพ์แชทกับ GitaGPT จะให้ประสบการณ์เหมือนสนทนาและส่งข้อมความอยู่กับเทพเจ้า
“ตอนที่ผมทำข้อสอบวิชาการเงินการธนาคารไม่ผ่าน ผมรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ผมได้สนทนากับพระเจ้าผ่าน GitaGPT ที่แนะนำให้ผมจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ปล่อยวางสิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ผมก็รู้สึกมีแรงบรรดาลใจกลับขึ้นมาอีกครั้ง”
หลังจากได้สนทนากับ GitaGPT ‘มีล’ เด็กหนุ่มจากอินเดียก็สนทนากับพระเจ้าของเขาผ่าน AI อย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เรื่องนี้ถูกรายงานโดยสำนักข่าว BBC
เมื่อปัญญาประดิษฐ์ผนวกรวมกับศาสนา
“ผู้คนในยุคปัจจุบันกำลังห่างกับผู้นำชุมชน ผู้อาวุโส และห่างจากวัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าจากการเข้ามามีบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกเทรนด์โดยพระคัมภีร์จะกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ทำให้คนหนุ่มสาวเข้าถึงพระเจ้าทั้งในแง่ของคำสอนและจิตวิญญาณ” ‘ฮอลลี วอลเตอร์ส’ (Holly Walters) นักมานุษยวิทยาจากสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่าการเข้ามามีบทบาทของ AI ในแวดวงศาสนาเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
คือจริง ๆ เราจะเห็นความพยายามของการนำเอาศาสนามาผนวกรวมกับเทคโนโลยีแล้วในหลาย ๆ ปีทีผ่านมา เช่น ในปี 2023 มี AI ชื่อ Text With Jesus ที่เปิดโอกาสให้ผู้ศรัทธาสนทนากับพระเยซูและบุคคลสำคัญที่มีชื่อปรากฎในคัมภีร์ไบเบิล ทว่าสุดท้ายก็ต้องถูกโละทิ้งไปเพราะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการดูหมิ่นศาสนา
หรือแม้แต่อีกหนึ่ง AI ชื่อ QuranGPT ที่จะตอบคำถามและให้คำแนะนำโดยอิงจากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม รายงานระบุว่าวันที่เปิดตัวมีผู้ศรัทธาเข้าไปใช้งานจำนวนมากจนแอปฯ ล่ม หรือแม้แต่ AI ที่เปิดโอกาสให้เราแชทคุยกับ ‘ขงจื๊อ’ คือตอนนี้เราแทบจะคุยกับใครก็ได้เท่าที่เรานึกได้ถ้ามีใครสามารถเทรนด์ AI ให้เรา
(นี่ถ้ามี AI เทรนด์โดยพระไตรปิฎกเปิดตัวในประเทศไทยอาจจะได้ชื่อว่า BuddhaGPT)
เมื่อศาสนายึดติดกับตัวบุคคล เราจะหันไปเชื่อข้อเท็จจริงจาก AI แทนได้ไหม ?
คือในช่วง 3-5 ปีให้หลังมานี้ ความเชื่อทางศาสนาหรือคำสอนต่าง ๆ มักผูกติดอยู่กับตัวบุคคลเสียเยอะ และตัวบุคคลนี้เองในวันที่ดีอะไรก็ดี แต่ในวันที่มีข่าวเสีย ๆ หายส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง เป็นที่เลื่อมใสของคนหมู่มากนี่แหละที่สร้างความตกใจให้กับสังคมว่า “โห ท่านทำขนาดนี้เลยหรือ” ดังนั้นท่ามกลางโลกที่ยึดติดตัวบุคคลแบบนี้ บางทีการยึดมั่นในหลักการของคัมภีร์ต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นได้จริงผ่านการใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพราะปัญญาประดิษฐ์แทบจะให้คำตอบเราโดยอิงจากข้อเท็จจริง (Fact) เป็นหลัก
ตามหลักการควรจะเป็นแบบนั้น
ทว่า AI ก็มีข้อผิดพลาดได้จากอาการหลอน
หรือเรียกว่าการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริงของ AI (Hallucinations)
ไม่ต้องมองที่ไหนไกลหนึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นกับ GitaGPT ระบุผ่านน้ำเสียงของพระกฤษณะว่า “การฆ่าเพื่อปกป้องธรรมะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” อาการ hallucinations แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับปัญญาประดิษฐ์หลาย ๆ โมเดลเหมือนกัน เช่น เคยมีปัญญาประดิษฐ์โมเดลหนึ่งระบุว่าคนผิวดำในรูปภาพคือลิง ความน่ากลัวนี้ยิ่งตอกย้ำให้คนในยุคปัจจุบันต้องมีความตระหนักรู้เท่าทัน AI และไม่ใช่ว่าจะเชื่อ AI ไปเสียทุกเรื่อง
ไม่แม้แต่จะเป็น AI ที่เทรนด์ด้วยคัมภีร์ทางศาสนาจากคำสอนของพระเจ้าก็ตาม
ที่มา : BBC