แร่แรร์เอิร์ธ ขุมทรัพย์ตัวประกันมหาอำนาจโลก

หลังจากที่นายกอนุทินลงนาม MOU ไทย-สหรัฐฯ เรื่องแรร์เอิร์ท (Rare Earth) จนเกิดข้อกังวลในวงกว้างจากทั้งประชาชน นักวิชาการ และนั่งสิ่งแวดล้อม จนนำมาซึ่งการสัมภาษณ์ของนายกว่า ‘อ่านหรือยัง อย่าฟังแต่เพียงหัวข้อและวิจารณ์’ (รายงานโดยประชาชาติธุรกิจ)

ในเมื่อนายกเอ่ยปากเองขนาดนี้ บทความนี้เลยจะมาชวนขยายความเรื่อง แรร์เอิร์ท และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงไปพร้อม ๆ กัน

ทำความรู้จักแรร์เอิร์ท แร่สำคัญตัวเปิดประเด็น

แร่แรร์เอิร์ท คือแร่หายาก ประกอบไปด้วยกลุ่มโลหะพิเศษ 17 ชนิด และกลุ่มธาตุแลนทาไนด์อีก 15 ตัว (สามารถอ่านชื่อแร่หากยากได้ที่ลิงก์นี้ ThaiPBS) แร่เหล่านี้เปรียบเสมือนดาวเด่นในยุคดิจิทัล เพราะว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของโทรศัพท์มือถือ แม่เหล็ก แบตเตอรี่ จอทีวี ไปจนถึงชิปที่ใช้ในอุตสาหกรรม AI

แร่ตัวนี้สำคัญมาก ๆ ทว่าปัญหาที่แท้จริงของแร่ชนิดนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อ ‘จีน’ ประเทศที่ผลิตและครอบครองพื้นที่ขุดเจาะแร่แรร์เอิร์ทผ่านการลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ‘ควบคุมการส่งออก’ อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะควบคุมการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา

จากแร่ที่ว่าหายากอยู่แล้ว สำคัญมากอยู่แล้ว ยิ่งมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวแบบนี้ยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากขึ้น ประจวบเหมาะกับที่ประเทศไทยในปี 2024 ติด 1 ใน 5 ประเทศที่ผลิตแร่แรร์เอิร์ธมากที่สุดในโลกที่ 13,000 เมตริกตัน เป็นรองจีน (270,000 เมตริกตัน) สหรัฐอเมริกา (45,000 เมตริกตัน) เมียนมา (31,000 เมตริกตัน) และ ออสเตรเลีย (13,000 เมตริกตัน) เป็นรองแค่ 4 ประเทศนี้เท่านั้น

เมื่อทรัมป์เห็นโอกาสของแร่แรร์เอิร์ทในไทย ทำไมจะไม่คว้าเอาไว้

ซึ่งทรัมป์เองก็ไม่ได้ดีลแค่กับไทยประเทศเดียว เพราะวันนี้ (28 ตุลาคม) ทรัมป์ก็ได้บรรลุข้อตกลงกับ ‘ซานาเอะ ทากาอิจิ’ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และลงนามในกรอบการทำงานเพื่อจัดหาแร่ธาตุสำคัญและแร่ธาตุหายากระหว่าง สหรัฐ-ญี่ปุ่น กลายเป็นอีก 1 ประเทศที่บรรลุดีลแร่หายากกับทรัมป์

ตอนนี้แร่แรร์เอิร์ทไม่ใช่แค่เพียงส่วนประกอบสำคัญเท่านั้น แต่เป็นเหมือนเครื่องมือ เป็นเหมือนแต้มต่อในเวทีภูมิรัฐศาสตร์โลก ยิ่งภูมิภาคอาเซียนที่จีนพยายามเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ทรัมป์เองก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้

คือภูมิภาคเอเชีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอนนี้กำลังเปรียบเหมือนสนามประลองกำลังระหว่างจีน-สหรัฐ เห็นได้จากการพยายามเข้ามามีบทบาทอย่างมากของทรัมป์ในตอนที่ไทยขัดแย้งกับกัมพูชา (เวลานั้นจีนก็พยายามยื่นมือเข้ามาแบบเงียบๆ) และตอนนี้ไทยเราก็ได้เป็นหนึ่งในสมรภูมิ ภูมิรัฐศาตร์โลกไปแล้วผ่านกรอบความร่วมมือของไทย-สหรัฐฯ

กรอบความร่วมมือของไทย-สหรัฐ เกี่ยวกับแร่หากยาก

กรอบความร่วมมือเกี่ยวกับแร่หากยาก Policy Watch รายงานไว้โดยละเอียด สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

  • แลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคตามแนวปฏิบัติสากลที่ดีที่สุดระหว่างสองประเทศ
  • ในส่วนการลงทุนแต่ละฝ่ายมีสิทธิ์ตัดสินใจเองว่าโครงการใดเหมาะสมต่อการลงทุน แต่ผู้เข้าร่วมทั้งสองจะได้รับสิทธิ์พิจารณาการลงทุนก่อน ตามกฎหมายของแต่ละประเทศ
  • ความร่วมมืออาจครอบคลุมถึงปรับปรุงแนวปฏิบัติ เช่น การลดขั้นตอนขอใบอนุญาต การพัฒนาโครงสร้างการลงทุน และการประสานงานระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น
  • มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการหรือการเปิดประมูลที่อาจเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ช้ากว่าที่ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งไปยังนักลงทุนรายอื่น
  • ทั้ง 2 ประเทศจะปกป้องตลาดแร่หายาก ภายใต้กรอบราคาที่กำหนด

จะเห็นว่าความร่วมมือที่เซ็นจะเป็นความร่วมมือที่สหรัฐฯ จะแบ่งความรู้และข้อมูลให้ไทยเรา โดยที่เราจะต้องเอื้อให้สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนได้ง่ายผ่านการลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่าง ๆ และร่วมกันปกป้องตลาดเพื่อคงไว้ซึ่งมูลค่าและราคาของแร่หายาก

คือต้องยอมรับว่าแร่หายากเหล่านี้มีความยากซึ่งการได้มาสมชื่อ ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ต้องอาศัยกระบวนการขุดเจาะเฉพาะทาง เพราะหากทำไม่ดีกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะทิ้งไว้ซึ่งสารพิษและกากกัมมันตรังสี การมีสหรัฐฯ ที่มีความรู้ ความเข้าใจ มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยไทยเราตรงนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องดี โดยไทยเราก็อาจจะรับผิดชอบในการควบคุมดูแลไป

ทว่าเรื่องนี้ก็เต็มไปด้วยความน่ากังวล
เพราะมาตรฐานการควบคุมดูแลแบบไทย ๆ นี่แหละ

จุดชี้เป็นชี้ตาย คือมาตรฐานการควบคุมแบบไทย ๆ

ก่อนจะพามาดูความน่ากังวลที่อาจเกิดขึ้นที่ไทย ขอพาไปดูเคสใกล้ตัวของประเทศเพื่อนบ้านที่ทำเหมือนแร่หายากแบบไร้ความรับผิดชอบกันก่อน นั่นคือ “เหมืองแร่หายากที่รัฐคะฉิ่น เมียนมา” เหมืองแร่ที่อยู่ต้นสายของแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ที่ไหลมายังประเทศไทยและสร้างผลกระทบต่อชีวิตคนไทย

กรุงเทพธุรกิจรายงานเรื่องนี้ไว้เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาผ่านภาพ NASA ที่ฉายให้เห็นภาพของ ‘ภูเขาพรุน’ ที่รัฐคะฉิ่น เมียนมา ที่เกิดจากเหมืองแร่เถื่อนที่ขุดเจาะแร่หายาก

รัฐคะฉิ่นมีเหมืองลักษณะนี้มากกว่า 300 แห่งที่สร้างสารพิษตกค้างและทิ้งไว้ซึ่งสารโลหะหนักที่ปนเปื้อนในดิน น้ำ และอากาศ สร้างผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพต่อชุมชนลุ่มน้ำกก น้ำสาย น้ำรวก และแม่น้ำโขงตอนบน มีผลกระทบลุกลามถึงพื้นที่การเกษตรในเชียงใหม่และเชียงรายกว่า 100,000 ไร่

‘คุณเพียรพร ดีเทศน์’ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ ยังอธิบายต่อถึงสาเหตุว่าทำไมถึงมีเหมืองเถื่อนขึ้นมาได้ เรื่องนี้เป็นเพราะพื้นที่ตรงนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังว้า ที่ขุดแร่เพื่อป้อนตลาดโลกภายใต้ทุนเทาจากต่างชาติ

นอกจากจะมีเหมืองที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังว้าแล้ว มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ยังระบุว่าเพิ่มเติมว่ายังมีเหมืองแร่หายากในเมืองยอนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกองทัพเมียนมาอีกด้วย และแน่นอนเหมืองนี้ก็ปล่อยมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเหมืองแร่หายากเหล่านี้จะกลายเป็นระเบิดเวลาทำลายสุขภาพของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมทันที หากมีการควบคุมที่ไม่ดี และการตั้งข้อสงสัยจากประชาชนต่อการควบคุมของรัฐไทยก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพราะถ้าเราย้อนมองเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นมาก็เคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เช่นกันที่ถือว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐในการแก้ไขปัญหาเหมือง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ที่ลำห้วยคลิตี้

โรงแต่งแร่ที่ทำพื้นที่ปนเปื้อนตะกั่วจนมีคนตาย

หมู่บ้านคลิตี้ล่าง ตั้งรกรากตั้งแต่ปี พ.ศ.2464 ที่ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี จนเมื่อปี พ.ศ.2518 มีโรงแต่งแร่ ‘บริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด’ มาเปิดบริเวณริมห้วย

ภายหลังการเข้ามาของโรงงาน 23 ปี ก็มีรายงานว่าชาวบ้านในหมู่บ้านเจ็บป่วยผิดปกติด้วยอาการที่คล้าย ๆ กัน และเริ่มทยอยเสียชีวิต เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงและปลาในห้วย ไม่นานผลของการตรวจสอบก็ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ของห้วยคลิตี้มีสารพิษเจือปนเป็นจำนวนมาก

ต่อมาในปี 2556 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายให้ชาวบ้านเป็นเงินกว่า 3.8 ล้านบาท (22 คน คนละ 177,199 บาท) และพิพากษาให้บริษัทเหมือง จ่ายค่าเสียหายฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ 20,200,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้าน 151 คน เป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 36,050,000 บาท

ผลพิพากษาออกมาเป็นแบบนี้แปลว่า กรมควบคุมมลพิษต้องมีส่วนในการปล่อยปะละเลยตลอดเวลากว่า 23 ปีที่โรงงานแต่งแร่ดำเนินการในห้วยคลิตี้ จนมีคนล้มตาย ประเด็นคือสุดท้ายหาตัวคนผิดไม่ได้ ต้องใช้เงินภาษีของประชาชนมาจ่ายเป็นค่าเสียหายแก่ชาวบ้าน

นี่คือหนึ่งในกรณีศึกษาที่สะท้อนมาตรฐานการควบคุมแบบไทย ๆ หรือถ้าเรามองเหตุการณ์ที่ร่วมสมัยหน่อยก็คงไม่พ้นกรณีตึก สตง. ถล่ม ซึ่งตอนนี้ก็ยังหาคนผิด หาคนมารับผิดชอบไม่ได้ หรือแม้แต่เหตุการณ์ถนนยุบตัวที่ถนนสามเสน และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ชวนให้คนไทยตั้งคำถามต่อการควบคุมดูแลของรัฐ

มาตรฐานแบบไทย ๆ จะไหวไหมในการมีเหมืองแร่ Rare Earth

กระบวนการที่ได้จะซึ่งแร่แรร์เอิร์ธมีความซับซ้อนและต้องใช้สารเคมีในปริมาณมากที่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนทั้งน้ำและดิน ตัวกากแร่เองก็กักเก็บกัมมันตรังสี แถมยังมีการปล่อยฝุ่นและก๊าซอันตรายขึ้นบนชั้นบรรยากาศ

กระบวนการได้มาซึ่งแร่แรร์เอิร์ธสร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิต ผู้คน และสิ่งแวดล้อมแน่ ๆ หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด และจากความเห็นของ ‘รศ. ดร.จารุประภา รักพงษ์’ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ่งที่ประเทศไทยควรจะต้องมีก่อนทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ คือ ‘ข้อกฎหมายเพื่อกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ’

ข้อกฎหมายก็ยังไม่มีรองรับแน่ชัด เมื่อผนวกรวมกับมาตรฐานแบบไทย ๆ ยิ่งทำให้ความสงสัยที่ว่าประเทศไทยจะพร้อมไหมที่จะมีเหมืองแร่แรร์เอิร์ทจากหลาย ๆ ภาคส่วนยิ่งทวีความน่ากังวล โดยปัจจุบันข้อมูลจากกรมทรัพยากรณี ระบุว่า แร่แรร์เอิร์ทในไทยพบได้ที่ จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุทัยธานี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี (เหนือจรดใต้)

แม้นายกอนุทินและคณะ ครม. จะออกมาเน้นย้ำว่า MOU ที่เซ็นกับสหรัฐฯ จะสามารถยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่ข้อกฎหมายผูกพันธ์ ทว่าใน MOU ก็ระบุไว้เช่นกันว่า ‘การยกเลิก MOU จะไม่มีผลต่อสิ่งที่ดำเนินการไปแล้ว’ แปลว่าหากมีอะไรที่ดำเนินการไปแล้วก็ต้องให้ดำเนินการไป จุดนี้เป็นหนึ่งในข้อกังวลเช่นกันเพราะการดำเนินการไปแล้วหมายถึงทุนที่ลงไปแล้วไม่ว่าจะจากนักลงทุนฝ่ายไหนก็ตาม

ธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรมประเทศไทย ให้ข้อมูลไว้ว่าปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีไม่มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ และยังไม่มีแหล่งที่มีประสิทธิภาพในเชิงพาณิชย์

ดังนั้นมูฟเม้นนี้เป็นหนึ่งในก้าวที่สำคัญอย่างมากที่ตั้งคำถามถึงประเทศไทย รัฐบาล และหน่วยงานกำกับดูแล ว่าประเทศไทยพร้อมแล้วหรือยังที่จะมีเหมืองแร่แรร์เอิร์ท

อ้างอิง
ThaiPBS , ThaiPBS (2)
Policy Watch ThaiPBS
The Active ThaiPBS
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
กรุงเทพธุรกิจ

เด็กหนุ่มจากราชบุรี ที่ยังคงลองผิดลองถูกเสมอมา