การคลังไทยที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
“คนส่วนใหญ่มีความอ่อนไหวต่อการเก็บภาษีที่สูง และพยายามหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด”
ประโยคดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์โดย KKP Research ที่อธิบายถึงหนึ่งในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับรายได้ภาครัฐไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องที่เกิดจากการ ‘รั่วไหล’ ของการจัดเก็บภาษีจากภาคเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่
รายได้ภาษีภาครัฐที่กำลัง “รั่วไหล”
ปัจจุบันภาครัฐของไทยกำลังเผชิญการขาดดุลที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ (รายจ่ายมากกว่ารายได้) หนึ่งในเหตุผลที่คุณผู้อ่านทุกคนพอจะคาดเดาได้คือเกิดจากเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอมานานเกือบ 10 ปี ยิ่งผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เศรษฐกิจประเทศไทยก็ฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่นอีก
ทว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ภาครัฐไทยเผชิญสถานการณ์การขาดดุลที่รุนแรงมาจากเรื่องของการจัดเก็บภาษี ที่ส่งผลให้ภาครัฐมีรายได้ที่ลดลง สวนทางรายจ่ายที่มากขึ้น
KKP Research รายงานว่าปี พ.ศ.2568 รัฐบาลจัดเก็บรายได้ภาษีต่ำกว่าเป้าหมายถึง 65,000 ล้านบาท โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิตรถยนต์และภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือแม้แต่การรั่วไหลต่อการจัดเก็บภาษีจากภาคเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่
ตามนิยามของ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เศรษฐกิจนอกระบบ คือ กิจกรรมที่อยู่นอกระบบตลาด เช่น ธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่ได้จดทะเบียน อาทิ ร้านค้ารายย่อย หาบเร่แผงลอย หรือ การรับงานมาทำที่บ้าน นอกจากนี้ ยังรวมถึงธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่ได้รับอนุญาต และธุรกิจที่ไม่ผ่านการขึ้นทะเบียนใด ๆ กิจกรรมเหล่านี้ยังครอบคลุมการผลิตและการแลกเปลี่ยนสินค้าในครัวเรือน
ทางออกของปัญหานี้คือการเข้ามามีบทบาทของ Negative Icome Tax ที่เป็นแนวคิดที่ว่าคนไทยทุกคนต้องยื่นภาษี (จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ช่วงใกล้ ๆ ปี 2570 ได้รู้กัน)
ผลกระทบของการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐ
ผลลัพธ์ที่ตามมาของการที่ภาครัฐไทยขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องคือหนี้สาธารณะของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้ KKP Research ประเมินว่าหนี้สาธารณะต่อ GDP ของประเทศไทยมีโอกาสแตะเพดาน 70% ภายในปีงบประมาณ 2027
(ปัจจุบัน ณ วันที่ 31 ก.ค.2568 ไทยมีหนี้สาธารณะ 12.12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.49% ต่อจีดีพี ข้อมูลโดย สำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง )
และเรื่องนี้เป็นเหมือนโดมีโน่ ที่มีตัวหนึ่งล้ม อีกตัวหนึ่งก็จะล้มตาม เกิดเป็นผลกระทบต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ เพราะการมีหนี้สาธาณะที่ใกล้ชนเพดานแบบนี้ก็ไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย เช่น เคยมีการศึกษาหนึ่งชี้ให้เห็นว่ายิ่งประเทศมีหนี้สาธารณะที่สูงก็จะส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมที่สูงขึ้น หรือแม้แต่การที่ประเทศไทยจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนจากต่างประเทศลง ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของรัฐบาลและภาคธุรกิจที่ระดมทุนทั้งในและต่างประเทศปรับเพิ่มสูงขึ้น
อีกหนึ่งทางเลือกในอนาคตคือการปรับฐานการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้ยากมากเพราะเป็นนโยบายที่จะทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลลดลงอย่างฮวบฮาบ ชนิดที่ว่ารัฐบาลไหนเลือกปรับ VAT มีสิทธ์ไม่ได้เป็นรัฐบาลต่อในสมัยหน้าแน่ ๆ ความเห็นนี้ไม่ใช่แต่เพียงความเห็นของผู้เขียนเพียงคนเดียว แต่เป็นความเห็นเดียวกับที่ คุณ ‘ถนอม เกตุเอม’ บล็อกเกอร์ นักเขียน และอาจารย์ด้านภาษีอากร บัญชี การเงิน เคยแสดงความเห็นไว้
ต้องยอมรับว่าตอนนี้ภาครัฐไทยเจองานที่ยากและท้าทายมากจริง ๆ


