‘Agoda’ เกิดที่ภูเก็ต โตที่กรุงเทพ ก่อนย้ายไปจดทะเบียนที่สิงคโปร์ แอปฯ จองโรงแรมมูลค่าแสนล้านที่เริ่มจากบริษัททัวร์ให้เช่าจักรยานเสือภูเขาในปี 1996 

เชื่อว่าใครที่เดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ ต้องจองโรงแรม ที่พัก หรือแม้แต่ตั๋วเครื่องบิน คงไม่มีทางจะไม่รู้จัก ‘Agoda’ แพล็ตฟอร์มออนไลน์ในเครือ ‘Booking Holdings’ เอเจนซี่ผู้ให้บริการจองออนไลน์ด้านท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ล่าสุด Agoda เพิ่งปิดดีลใหญ่กับโครงการ ‘One Bangkok’ เตรียมย้ายเข้าสู่พื้นที่ออฟฟิศแห่งใหม่ใจกลางย่านพระราม 4 กับการเช่าพื้นที่ขนาด 26,000 ตร.ม. คลอบคลุม 7 ชั้นของ Tower 5 กลายเป็นผู้เช่ารายใหญ่ที่สุดของโครงการ โดยมีกำหนดย้ายเข้าอย่างเป็นทางการเมษายน 2026

แต่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า Agoda บริษัทระดับโลกแห่งนี้ถือกำเนิดจากบริษัททัวร์เล็กๆ ในจังหวัดภูเก็ตเมื่อ 29 ปีที่แล้วในยุคที่การท่องเที่ยวของไทยเพิ่งจะเริ่มต้นตั้งไข่ก่อนแคมเปญ “Amazing Thailand” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะเริ่มต้นเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นในปี 1998

จุดกำเนิดจากบริษัททัวร์เล็กๆ บนเกาะภูเก็ต

เดิมที Agoda เป็นเพียงบริษัทให้บริการทัวร์ด้วยจักรยานเสือภูเขา โดยผู้ก่อตั้งและเจ้าของคือคุณ Michael Kenny ชาวอเมริกันที่ในตอนนั้นเขาได้เดินทางเข้ามาพำนักอยู่ที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งตัวเขาชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว และการเดินทางเปรียบเสมือนกับ DNA ในสายเลือดที่ได้มาจากพ่อแม่ของเขาที่ต้องเดินทางย้ายที่ทำงานบ่อยครั้งในอาชีพผู้รับเหมาพัฒนาระบบป้องกันด้านไอที จากแคลิฟอร์เนีย สู่มหานครนิวยอร์ก และเดินทางไปทั่วโลก จนมาลงเอยที่ภูเก็ต และได้เปิดบริษัททัวร์ที่มีชื่อว่า ‘Tropical Trails’ ในช่วงปี 1996

สิ่งที่เป็นเหมือนจุดก้าวกระโดดสำหรับธุรกิจของเขาคือ การที่โลกเข้าสู่ยุค “.com” ในปี 1997 โลกของอินเตอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปเริ่มเข้าถึงได้ เทคโนโลยีการท่องโลกไซเบอร์ การให้บริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ก่อกำเนิดเว็บไซต์ต่างๆ มากมายนับแสนเว็บในเวลารวดเร็ว ซึ่งหนึ่งในเสิร์ชเอนจินอันดับ 1 ของโลกอย่าง ‘Google’ ก็ถือกำเนิดในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน รวมทั้ง Yahoo ที่ตอนนั้นเป็นเสิร์ชเอนจินอันดับ 1 ของโลก ก็กำเนิดในปี 1995 นั่นทำให้โอกาสทางธุรกิจบนโลกอินเตอร์เน็ตเปิดกว้างสำหรับคนทั่วไปมากขึ้น

เช่นเดียวกับ Kenny เขามองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการมาของอินเตอร์เน็ต และมองเห็นโอกาสจากปัญหาที่ว่า การที่ใครสักคนจะจองโรงแรมถ้าไม่ค้นหาผ่านสมุดหน้าเหลืองแล้วโทรข้ามเมือง ข้ามประเทศไปจอง ก็ต้องเป็นโรงแรมที่เป็นที่รู้จักในระดับสากล ทำให้ลูกค้าโรงแรมทั่วโลกเข้าถึงการจองที่พักได้ไม่ง่ายดายนัก

โลกอินเตอร์เน็ตบูมเปลี่ยนเกมธุรกิจไปตลอดกาล

เขาจึงตัดสินใจเปิดเว็บไซต์ PlanetHoliday. com ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางหรือเอเจนซี่ในการรวบรวมโรงแรมต่างๆ เอาไว้ที่เว็บไซต์เดียว แล้วเขาก็ไปดีลกับโรงแรมต่างๆ ที่เขาทำทัวร์ด้วยเพื่อให้เข้ามาลงโปรโมทบนเว็บไซต์ แลกกับสิทธิพิเศษที่จะได้ห้องพักในราคาดี เพื่อมาทำตลาดกับลูกค้าทั่วโลก

สิ่งที่โรงแรมต่างๆ จะได้คือ การเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างมากขึ้นจากทั่วโลก โดยเฉพาะลูกค้าจากฝั่งอเมริกาและยุโรปที่เข้าถึงเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตได้ก่อนภูมิภาคอื่นๆ ในเวลานั้น Kenny กลายเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจรูปแบบนี้เป็นรายแรกในประเทศไทย โดยเวลานั้นสำนักงานยังจดทะเบียนประกอบธุรกิจอยู่บนเกาะภูเก็ต

โดนก็อปปี้ไม่ใช่เรื่องแย่บ่งบอกถึงการเดินมาถูกทาง

แน่นอนว่า เมื่อธุรกิจเติบโตมาพร้อมๆ กับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เริ่มเข้าถึงผู้คนมากขึ้น คู่แข่งทางธุรกิจก็เพิ่มมากขึ้น PlanetHoliday. com กลายเป็นโมเดลธุรกิจต้นแบบที่หลายเจ้าเริ่มทำตาม ไม่เพียงแค่ทำตาม Business Model เท่านั้น ยังเจอปัญหาการก็อปปี้ทั้งภาพ ข้อความ หรือแม้แต่รูปแบบของเว็บไซต์ PlanetHoliday. com ไปใช้แบบไม่ต้องครีเอทใหม่ให้เสียเวลากันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นยุคที่กฎหมายการละเมิดลิกสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญายังไม่เข้มข้น

แต่แทนที่ Kenny จะมองว่านี่คืออุปสรรคหรือปัญหาในการทำธุรกิจ เขากลับพลิกมุมมองว่า ถ้าคนแห่มาทำแบบเขากันมากมายขนาดนี้ แสดงว่าธุรกิจของเขามาถูกทางแล้ว

ประกอบกับประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศท่องเที่ยวอย่างเต็มขั้นจากการเปิดตัวแคมเปญ Amazing Thailand ในปี 1998 ซึ่ง ณ ขณะนั้นประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ (ต้มยำกุ้ง) พอดีทำให้ไทยต้องเร่งสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งการท่องเที่ยวกลายเป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลังจากเปิดตัวเว็บไซต์มาได้ 4 ปี PlanetHoliday. com ก็มีชื่อเสียงมากขึ้นในกลุ่มธุรกิจโรงแรม และมีการขยายการให้บริการไปยังหลายประเทศในเอเชียโดยในปี 2000 เริ่มนำกลยุทธ์โฆษณาแบบ pay-per-click รวมไปถึงบริการลูกค้าผ่าน online chat มาใช้ซึ่งก็ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ Agoda มาจนถึงทุกวันนี้

อยู่ภูเก็ตโตยาก ย้ายออฟฟิศสู่ใจกลางเมืองหลวง

ในโลกธุรกิจไม่มีการเติบโตใดไม่เจอกับอุปสรรค เพราะในปี 2001 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมก็เจอวิกฤตใหญ่ที่มากระแทกแบบรวดเดียวหลายเหตุการณ์ ทั้งการก่อการร้าย 9/11 วิกฤตโรค SARS ระบาด เมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่กล้าเดินทาง ยอดจองโรงแรมลดลง และการทำธุรกิจในต่างจังหวัด ณ เวลานั้นก็ไม่เอื้อต่อการเติบโต

ทำให้ Kenny ต้องย้ายสำนักงานครั้งแรกจากเกาะภูเก็ตมายังกรุงเทพมหานครในช่วงต้นปี 2002 เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานเหมาะกับการทำธุรกิจรวมถึงเพื่อให้สามารถเฟ้นหาคนทำงานที่มีความสามารถเข้าสู่บริษัทได้

อยากโตระดับ World Class ต้องไปสิงคโปร์

เมื่อลงหลักปักฐานที่กรุงเทพฯ ได้ และสถานการณ์โลกเริ่มดีขึ้น ในปี 2003 เขาได้ไอเดียธุรกิจใหม่ในการจองโรงแรมอีกครั้งโดยเปิดเว็บไซต์ PrecisionReservations. com เว็บไซต์เพื่อให้บริการจองโรงแรมผ่านเว็บไซต์ที่เป็นพันธมิตรของบริษัท ซึ่งทำให้การจองบริการต่างๆ ไม่ถูกจำกัดอยุ่บนเว็บไซต์เดิมแห่งเดียว แต่ยังจองโรงแรมสำหรับเว็บไซต์หรือบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์อื่นๆ ได้ด้วย โดยในเวลานั้นเว็บไซต์นี้มีลูกค้าจำนวนมากกว่า 1,000 เว็บไซต์ที่ใช้บริการของ PrecisionReservations. com

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของธุรกิจ เกิดจากการที่ Kenny และเพื่อนของเขา “Robert Rosenstein” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ตัดสินใจรวม PlanetHoliday. com และ PrecisionReservations. com เอาไว้ด้วยกันภายใต้บริษัท “Agoda Company Pte. Ltd” และได้ย้ายการจดทะเบียนจากกรุงเทพฯ ไปตั้งสำนักงานใหญ่ที่ประเทศสิงคโปร์

เนื่องจากสิงคโปร์มีความทันสมัยและมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการต่อยอดพัฒนาธุรกิจได้เหนือกว่า และยังมีความเป็นสากลสูง กฎระเบียบที่ยืดหยุ่น และการเข้าถึงแหล่งเงินและนักลงทุนระดับโลกได้มากกว่าในไทย ทำให้ Agoda เลือกสิงคโปร์ เป็นศูนย์บัญชากรระดับบริหารหลักของบริษัท

แต่สำหรับออฟฟิศในกรุงเทพฯ ก็กลายเป็นฐานทัพในระดับปฏิบัติการ พร้อมกับแต่งตั้ง Rosenstein ได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง Chief Operating Officer (COO) หรือ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและเปิดตัว agoda. com อย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมปี 2007

ถูกซื้อด้วยเงินหลักพันล้าน แต่ทำรายได้หลักแสนล้าน

ไม่นานหลังจาก agoda เปิดตัว “Booking Holdings” เครือธุรกิจเอเจนซี่ผู้ให้บริการออนไลน์ด้านท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากสหรัฐฯ ก็ควบรวม agoda เข้ามาเป็นหนึ่งในธุรกิจด้วยมูลค่าที่ถูกแสนถูกเพียง 158 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยน ณ ปี 2007 มูลค่าเพียง 4,500 – 5,060 ล้านบาท โดย Kenny ผู้ก่อตั้ง Agoda ได้รับเงินล่วงหน้า 16 ล้านดอลลาร์และอีก 142 หลังจบดีลเข้าซื้อกิจการ ซึ่งก็มีธุรกิจประเภทเดียวกันในเครืออย่าง booking. com รวมอยู่ด้วย รวมทั้งธุรกิจรับจองการบริการอื่นๆ อีกมากมายรวมแล้วมากถึง 16 บริษัท

ทั้งนี้รายได้ของ Agoda ไม่ได้มีการเปิดเผยรายงาน แต่มีการคาดการณ์ว่า รายได้ประจำปีของ Agoda อยู่ที่ประมาณ 1,000 – 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (32,00 ล้านบาท – 1.6 แสนล้านบาท) ขณะที่รายได้ของเครือ Booking Holdings อยู่ที่ 23,740 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7.6 แสนล้านบาท

ส่วนกำไรสุทธิของ Agoda ทาง Booking Holdings รายงานว่าอยู่ที่ 22.46% สำหรับปี 2024 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่ง

ส่วนการเติบโตของรายได้ Agoda ถือว่าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในเอเชีย โดยบรรลุการเติบโตปีต่อปีสูงสุดในบรรดาแบรนด์ต่างๆ ของ Booking Holdings

ปัจจุบัน Agoda การเข้าถึงผู้ใช้บริการทั่วโลกครอบคลุม 200 ประเทศ ให้บริการสำรองห้องพักออนไลน์จากโรงแรมกว่า 250,000 แห่งทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ที่มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ กัน 38 ภาษาซึ่งรวมถึงภาษาจีนกลาง จีนกวางตุ้ง ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลี และไทย และมีพนักงานประมาณ 7,000 คน โดยไทย 4,000 คน สิงคโปร์ 3,000 คน

การย้ายออฟฟิศในกรุงเทพจากอาคารดิออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ (The Offices at centralwOrld) มายัง One Bangkok ถือเป็นหนึ่งในอาคารที่มีพื้นที่ต่อชั้นใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ รองรับแนวคิด Campus Office ของ agoda ได้อย่างครบครัน

เรียกว่าจากบริษัททัวร์ที่ภูเก็ต เมื่อ 28 ปีก่อน เติบโตสู่แพล็ตฟอร์มบริการด้านการท่องเที่ยวระดับโลก เส้นทางของ agoda มาไกลจากจุดเริ่มต้นจริงๆ

บรรณาธิการบริหาร Reporter Journey บก.ทาสแมว หนุ่มเนิร์ดผู้มีความสุขกับการท่องโลกของ "ความรู้" ในทุกๆ ศาสตร์รอบตัว