หากกล่าวถึงหลักสูตรใดสักหลักสูตรหนึ่ง ที่จะต้องจ่ายเงินเข้าไปเรียนหลักสูตรนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักหมื่นหรือหลักแสนบาท คนภายนอกก็มักจะมองเข้ามาว่า มันก็เป็นเพียงการใช้เงินของผู้มีอันจะกิน เพื่อเข้าสังคม สร้างคอนเทคชัน เพื่อสานต่อทางธุรกิจ ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจลึกซึ้งไปกว่าแค่ การซื้อสังคมรูปแบบหนึ่งเท่านั้น

แต่มีหลักสูตรหนึ่งที่มีสังคมภายในของผู้ที่เข้าร่วมมารุ่นแล้วรุ่นเล่าที่มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ และมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่เหมือนกับสังคมของผู้เข้าหลักสูตรไหนๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การเข้ามาเรียนรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิที่คัดสรรมาอย่างดีที่พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ แต่รวมไปถึงการสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืน การรู้จักตัวตนของผู้เข้าร่วมให้ลึกซึ้งก่อนที่จะนำพาไปสู่การดีลกันทางธุรกิจต่อไปในอนาคต

เราได้นั่งจับเข่าพูดคุยกับ คุณวิเชฐ ตันติวานิช หรือทุกคนเรียกว่า พี่เว้ ประธานกรรมการหลักสูตร และผู้ร่วมก่อตั้ง 2morrow Scaler แบบสั้นๆ รวบรัด ที่ตึกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงนิยามของหลักสูตรนี้ว่ามันพิเศษกว่า หรือมีอะไรที่ไม่เหมือนกับหลักสูตรอื่นๆ และอันที่จริงแล้วเสน่ห์ของสังคม Scaler นั้นมาจากอะไร

วิเชฐ ตันติวานิช “พี่เว้” ประธานกรรมการหลักสูตร และผู้ร่วมก่อตั้ง 2morrow Scaler

อะไรคือนิยามของคำว่า “2morrow scaler”

จากชื่อในคำแรกคือคำว่า “2morrow” (Tomorrow) แปลว่าพรุ่งนี้ หรือว่า Next ครับ ส่วนคำว่า “Scaler” แปลว่าผู้เติบโต รวมสองคำนี้มันเลยกลายเป็นความหมายว่า “ผู้ที่เติบโตในวันพรุ่งนี้” คำว่า การเติบโตในวันพรุ่งนี้ เราหมายถึงการเติบโตในธุรกิจ ผมเลยออกแบบโลโก้ออกมาเป็นวงน้ำที่เกิดกระแสคลื่นจากการโยนหินลงไป เป็นกระแสน้ำที่ส่งผลกระทบออกไปในวงกว้าง เพราะเกิดจากหินหลายก้อนกระทบที่กระทบกันไปมา ซึ่งการที่หินเหล่านั้นกระทบกันจนเกิดแรงกระเพื่อม สื่อถึงการแลกเปลี่ยนและสร้างอิมแพคต่อกัน 

ผมออกแบบ 2morrow scaler มาจากมุมมองที่ผมเคยเป็นผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์มา 8 ปี เป็นทั้ง Fund Manager ที่จบมาจากสาย Economics ด้วย ผมเลยชวนน้องๆ อีก 4 คนมาเป็น Director ด้วยกัน แล้วก็มานั่งแชร์ไอเดียกันว่า การเติบโตของธุรกิจต้องมีปัจจัยสำคัญ ดังนั้นมันจึงต้องมีต้นแบบ เพราะทุกวันนี้การเติบโตจากการเรียนรู้และเจ็บปวดด้วยตัวเองมันใช้เวลานานเกินไป

ผมทำงานมา 30-40 ปีแล้ว ผมมีคอนเนกชันและเห็นคนที่เติบโตมาเยอะ ผมเห็นโลกของตลาดหลักทรัพย์มาตลอด ผมเลยอยากสร้างต้นแบบนี้ให้กับนักเรียนของเรา และให้กับคนที่อยาก Scale หรืออยากเติบโต เพราะฉะนั้นการเป็น Scaler ที่นี่ จะได้ฟังความรู้และความเห็นจากหลายคนที่เขาไม่เคยไปพูดแบบนี้ที่ไหน ไม่ได้เป็นคนรับจ้างพูดบนเวที แต่เขาเป็นคนรู้จักของผมเอง บางคนพูดไม่เก่ง จนต้องขอให้ผมเป็นคนนั่งสัมภาษณ์แล้วเขาเป็นคนตอบให้ฟัง 

จากตรงนั้นผมเลยทำ Shortcut เกี่ยวกับการแชร์ความรู้ ประสบการณ์ เทคนิค ความล้มเหลวและความสำเร็จของคนที่เขาผ่านมาก่อน และเติบโตในธุรกิจได้จนถึงทุกวันนี้ ให้คนเหล่านี้ได้มาถ่ายทอดองค์ความรู้ให้คนรุ่นใหม่  ซึ่งผมก็คัดคนรุ่นใหม่ช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ก็อาจจะมี 50 ปีหรือ 20 ปีมาอยู่ด้วยกันบ้าง 

Director แต่ละคนที่เข้ามาแชร์ความรู้และประสบการณ์ เขาเข้ามากันด้วยความโดดเด่นในแต่ละแบบ มีตั้งแต่คนที่กำลังชำนาญเรื่องของ Investment ชำนาญเรื่องของการวิเคราะห์ ชำนาญเรื่องของการทำ Transformation ชำนาญเรื่องของการจัดการ แล้วก็เอาทุกคนมารวมตัวกันจนได้เป็น Scaler แบบนี้ครับ

ทีม Director ที่เป็นดั่งพี่เลี้ยงของผู้เข้าหลักสูตร 2morrow scaler ซึ่งมาจากนักธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ

2morrow scaler สอนให้นักธุรกิจที่ต้องการเติบโตได้เรียนรู้ถึงอะไรบ้าง

พวกเราทำ Super Scaler 5 อย่างเลยครับ มีตั้งแต่ SUPER CONNECTION, SUPER TOOLS SUPER ENGINES, SUPER FUNDS และ SUPER BRAINS เรียกได้ว่าต้องจากการที่มีสมอง (brains) ก็ต้องเครื่องมือ (tools) เมื่อมีเครื่องมือก็ต้องมีเงิน (funds) และพรรคพวก (connections) และยังต้องมีเครื่องยนต์หรือกลไก (engines) เพื่อความไหลลื่นให้มันเกิดพลังขึ้นได้ ซึ่งห้าอย่างนี้คือปัจจัยที่ Scaler ทุกคนต้องมองหา เพื่อเอาไปเป็นองค์ประกอบรวมกันจนทุกอย่าง Scale ไปด้วยกันได้

ตอนนี้มาถึงรุ่นที่ 7 แล้วผู้เข้าร่วมหลักสูตรมีหลายช่วงอายุมากขึ้น อะไรคือเสน่ห์ในการอยู่ร่วมกันของคนต่างวัยเหล่านี้

ทุกครั้งที่มีการสมัครเข้ามาในหลักสูตร ผมจะเห็นชื่อและอายุของผู้สมัครเสมอ กระบวนการคัดเลือกของเราเลยสำคัญมาก อย่างพ่อแม่ของเพื่อนผม เขาขอฝากลูกมาเรียนด้วย พวกเราก็ต้องดูว่าเขาทำงานหรือยัง และถ้าเพิ่งเรียนจบมา เขารู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจมาบ้างไหม ต้องทำการสัมภาษณ์เพื่อให้รู้ว่า ตัวเขาพร้อมที่จะรับรู้ไหม ผมมักจะพูดกับเด็กๆ ที่มาสมัครว่า “น้องไม่มีอะไรจะมาแชร์เขาแน่นอน เรื่อง give and take ไม่น่าเกิดขึ้นแล้ว เพราะน้องต้อง take อย่างเดียว แต่อย่าอายนะ” เพราะบางทีเด็กอยู่กับผู้ใหญ่เขาจะอาย ผมเลยบอกเขาว่า ถ้ามีคำถามให้ถามได้เลย และถ้าเจอพี่คนไหนที่น้องรู้สึกชื่นชมก็วิ่งเข้าไปหา เข้าไปทำความรู้จักกับเขา

ทุกรุ่นจะมีบรรยากาศแบบนี้อยู่แล้ว พูดง่ายๆ คือผมมองเป็นรายบุคคลเลยว่า ถ้าคุณเป็นเด็ก คุณต้อง take เป็นหลัก หรือบางครั้งอาจจะเสริมผู้ใหญ่ได้ เพราะในบางทีผู้บรรยายอาจพูดผิดบ้าง พูดไม่ทันสมัย ก็ให้เขาเสริมได้หรือแสดงความเห็นและแชร์กันได้เลย มันทำให้เกิดการผสมผสานกันไปมา เหมือนเอาทุกคนจับใส่ขวดแล้วเขย่า คล้ายกับการผสมค็อกเทล ที่เบลนด์กันจนอร่อย ที่นี่จึงมีอีกคำศัพท์หนึ่งคือคำว่า 2morrow scaler Family หมายความว่า เรานับว่าทุกคนเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันแล้ว

คุณแต๋ม ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) วิทยากรที่มาถ่ายทอดในหลัก

พี่เว้ใช้คำว่า ‘Friendship มาก่อนคำว่า Business เสมอ’ ประโยคนี้สะท้อนภาพความแตกต่างที่ไม่เหมือนธุรกิจอื่นๆ ยังไงบ้าง

สะท้อนความเป็น Family ครับ คือเมื่อไหร่ที่เราเป็นพี่น้อง หรือเป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่เด็ก การพูดคุยในเรื่องของธุรกิจจะถูกตัดข้อสงสัยออกไป จะไม่มีการตั้งคำถามว่า เขาจะมาไม้ไหน เขาจะทำแบบนั้นจริงหรือเปล่าวะ เพราะฉะนั้นผมถึงมักบอก Scaler ว่า ก่อนที่จะทำธุรกิจด้วยกัน คุณเน้นรู้จักกันก่อนเถอะ จะได้ไม่ทะเลาะกันในอนาคต เพราะถ้าคุณมองแค่ธุรกิจและดีลกันโดยไม่ได้รู้จักกันหมด วันหนึ่งคุณไปเช็กเจอประวัติของเขา กลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่คุณไม่ควรจะคบหาเลย กลับกันถ้าคุณทำความรู้จักกันก่อน จนได้เห็นว่ามีอะไรที่ตรงกัน แล้วจึงค่อยทำธุรกิจกันเพราะรู้นิสัยกันในระดับหนึ่งแล้ว ผมมองว่าแบบนี้มันดีนะ

จริงๆ ก็มีนักธุรกิจที่บริษัทเป็นมหาชนแล้วหลายคนซึ่งก็นับว่าประสบความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ก็ยังเข้าร่วมเรียนหลักสูตรนี้ อะไรที่ทำให้คนเหล่านี้มาเรียนกับ 2morrow scaler

มีคนสองแบบที่มาเรียนกับเรา แบบที่หนึ่งคือ เจ้าของบริษัทที่อยากมารู้จักคนอื่น อยากรู้เห็นมุมมองของคนอื่นว่า อุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นลูกค้าของเขาไหม หรืออุตสาหกรรมไหนกำลังแข่งกับเขาอยู่หรือเปล่า แบบที่สองคือ ลูกจ้างของบริษัทใหญ่ที่มาเพื่อที่สร้างคอนเนกชัน หรืออาจจะมาโปรโมตบริษัทตัวเอง เพราะ 2morrow scaler เปิดให้ทุกคนมาสร้างคอนเนกชันกันได้ เริ่มจากการพูดคุยและเล่าสู่กันฟังว่า บริษัทของคุณทำเกี่ยวกับอะไรหรือพร้อมเปิดรับคนที่อยากมาทำธุรกิจด้วยกันได้ 

อย่างบางบริษัท JWD เจ้าของไม่เคยมาเรียนเลย แต่ส่ง Top Management มาเรียนกับเราทุกรุ่น เพราะคนของบริษัทนี้เขาสามารถที่เชื่อมสัมพันธ์กับทุกคนที่นี่ได้ เพราะบริษัทนี้ทำเกี่ยวกับ logistics ทุกบริษัทต้องใช้กันอยู่แล้ว แต่ผมก็ต้องบอกว่า เราไม่ได้เน้นสร้างคอนเนกชันเพื่อค้าขายกันแบบจริงจัง เพราะทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติ เราสร้างธรรมชาติขึ้นมา เราสร้างสิ่งแวดล้อมและเพิ่มบรรยากาศที่เหมาะสมให้กับพวกเขาครับ

2morrow scaler ทำให้การสร้างความรู้และการสร้างคอนเนกชันไปด้วยกันได้ยังไง

โดยธรรมชาติของทุกหลักสูตรมักมีคอนเนกชันอยู่แล้ว ที่นี่เราไม่เน้นปาร์ตี้นะ เพราะเน้นแชร์ความรู้มากกว่า ซึ่งมันทำให้เราพาทุกคนไปดูบรรยากาศ วิธีการทำงานและทีมงานของ Scaler การทำแบบนี้จะพอดีสำหรับการสร้างคอนเนกชันมากกว่า แต่ถ้าหลักสูตรที่บอกว่าเน้นคอนเนกชันนะโต้งๆ คือล้นเลย เพราะทุกคนจะเอาแต่ขายของให้กัน กลายเป็นว่าไม่เน้นอะไรนอกจากการมารู้จักเพื่อแค่ค้าขายกัน เพราะฉะนั้นเรื่องคอนเนกชันของหลักสูตร 2morrow scaler จึงมาโดยธรรมชาติ แบบกลมกล่อมพอดี เพราะระหว่างไปเรียนทุกคนก็จะสร้างคอนเนกชันกันเอง

กิจกรรมที่สร้างคอนเนกชันชั้นดีเลยคือปาร์ตี้ แต่เพราะเราไม่เน้นการสร้างคอนเนกชันขนาดนั้น ผมเลยมีงบประมาณให้จัดปาร์ตี้ได้ไม่เกินห้าหมื่นบาท เพราะผมเคยได้ยินมีหลักสูตรหนึ่งจัดปาร์ตี้ไปทั้งหมด 1 ล้านภายในคืนเดียว มีแบบนี้หลายหลักสูตรเลย แต่ของเราไม่ได้เน้นการกิจกรรมเพื่อการนี้ จึงบอกทุกคนว่ามีงบให้แค่ห้าหมื่น ถ้าอยากจัดก็จัดให้ได้เท่านี้ แต่สุดท้ายก็จัดกันได้นะ (หัวเราะ)

หลายคนมองว่า หลักสูตรพวกนี้มันก็เป็นแค่สังคมของคนรวยที่จ่ายเงินเข้ามาเพื่อหาโอกาสต่อยอดในธุรกิจ พี่เว้มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง

ผมว่ามันเป็นความเข้าใจผิด อธิบายอย่างนี้ครับ เรามีนักเรียนหลายคน อย่างเด็กคนหนึ่งที่มาเรียนกับเรา เขาเป็นคนเชียงใหม่ มาเรียนแบบไม่รู้จักใครเลย แถมสมัครเข้ามาแม้กระทั่งทำธุรกิจก็ยังทำไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เขามาเรียนรู้แบบ take เพราะในตอนนั้นเขาอายุ 20 กว่าๆ ซึ่งทุกวันนี้เขาขายสินค้า E-commerce ครับ ยอดขายน่าจะเกือบพันล้านต่อปีแล้ว เขาเอาความรู้จาก Scaler ไปปรับสเกลของเขาเอง  ดังนั้นผมเลยต้องการจะบอกว่ามันไม่มีเรื่องของลูกคนรวย คลาสของเราคือหลักสูตรที่รวมคนทุกแบบ มีทั้งคนที่เป็นเจ้าของบริษัทที่ไม่มีอะไรเลยก็มี เป็นคนสวยสุดๆ เลยก็มี หรืออย่างบางคนเป็น start up อยู่ก็มีเหมือนกัน แต่สิ่งเดียวที่ผมขอให้ทุกคนที่เข้ามาเรียนต้องมีเลยคือ “อยาก Scale แล้วว่ะ” ถ้าใจคุณมีความต้องการแบบนี้ก็มาหาเราเลย เดี๋ยวพวกเราช่วยครับ