ตั้งแต่เข้าปี พ.ศ.2568 จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วเกือบจะ 4 เดือน วันเวลากำลังเดินหน้าด้วยความเร่งเข้าสู่ช่วงกลางปี จากที่สถาบันและนักวิเคราะห์ต่างประเมินว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเจอความยากลำบาก คนไทย-ประเทศไทยจะเผชิญอีกหนึ่งปีที่ท้าท้าย เช่นนั้นแล้วตอนนี้สถานการณ์ในประเทศไทยแย่จริงหรือ ?

การประเมินว่าแย่มากน้อยแค่ไหน ประเมินว่าแย่จริงหรือ สามารถมองผ่านได้หลายสถิติ หลายตัวชี้วัด แต่บทความนี้ Reporter Journey ขอพาไปดูผ่านหนึ่งในสถิติที่สำคัญ ที่อาจจะสะท้อนและบอกอะไรบางอย่างถึงเศรษฐกิจประเทศไทย ณ เวลานี้ได้ นั่นคึอ “ภาวะการมีงานของประชากรไทย”

บทความนี้กำลังจะพาไปดูว่าคนไทยมีงานทำ หรือว่างงานกันมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่เผยแพร่ล่าสุด เมื่อเดือนมีนาคม 2568 โดยมีสรุปสาระสำคัญดังนี้

เดือนมีนาคมมีผู้ว่างงานมากขึ้น 63,000 คน

.

ในภาพรวม ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้มีงานทำ 39.42 ล้านคน จากกำลังแรงงานในประเทศทั้งหมด 59.38 ล้านคน และจากข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้ว่างงาน 378,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 63,000 คน และหากพิจารณาเป็นรายภาคจะพบว่า

  • ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือมีจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น
  • ในขณะที่พื้นที่กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง มีจำนวนผู้ว่างงานลดลง

เรื่องนี้อาจสะท้อนถึงการกระจุกตัวของตำแหน่งงานและทุนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ กรุงเทพและปริมณฑทลเป็นหลัก ประโยคที่ว่าเด็กต่างจังหวัดต้องดิ้นรนมาหางานทำในกรุงเทพเป็นเรื่องที่จริงแท้เสมอมา เพราะที่บ้านไม่มีงานให้ทำ

คนว่างงานส่วนใหญ่คือคนที่ไม่เคยทำงานมาก่อน
เป็นคนที่จบระดับอุดมศึกษามากสุด

เมื่อไปดูที่ประสบการณ์ทำงานของผู้ว่างงานเราจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เพราะในจำนวนผู้ว่างงาน 378,000 คน เป็นผู้ที่เคยทำงาน มีประสบการณ์ทำงาน 162,000 คน ในขณะที่ผู้ว่างงานที่เหลืออีกราว ๆ 216,000 คน (คิดเป็น 57% ของผู้ว่างงาน) เป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ไม่มีประสบการณ์การทำงาน

และในจำนวนกลุ่มคนว่างงาน เป็นกลุ่มคนที่สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษามากสุดถึง 144,000 คน (เป็นกลุ่มคนที่ว่างงานมากสุด) รองลงมาคือกลุ่มคนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายว่างงานที่ 100,000 คน ขณะที่คนจบมัธยมต้นจะว่างงานราว ๆ 59,000 คน

แต่เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์จะพบว่าไม่ว่ากลุ่มคนไหนที่สำเร็จการศึกษาระดับใด ล้วนว่างงานเพิ่มมากขึ้นกันถ้วนหน้า

เรื่องนี้สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหน ?

ตอบได้สั้น ๆ ว่า “มาก”

อยากให้คุณผู้อ่านตั้งข้อสังเกตตามผู้เขียนดังนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราเห็นข่าวการรับสมัครงานจากบริษัทสื่อมากน้อยแค่ไหน ? (ขอยกอุตสาหกรรมสื่อเพราะผู้เขียนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้) หรือเราเห็นข่าวการเปิดรับงานจากบริษัทสื่อที่เราติดตามครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ?

หรือเราเห็นผู้บริหารบริษัทเอกชนไม่ว่าจะอุตสาหกรรมไหนก็ตาม ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อในมุมของการเปิดรับพนักงานใหม่ ๆ หรือไม่ ผู้บริหารบริษัทหลายท่านพยายามจะลดต้นทุนและ lean องค์กรให้ได้มากที่สุดในเวลานี้

หากคุณผู้อ่านนำความรู้สึกข้างต้นที่ผู้เขียนชวนตั้งข้อสังเกต ผนวกรวมกับข้อมูลที่เผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติคุณผู้อ่านจะได้คำตอบว่า ภาวะการมีงานของประชากรไทย สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจประเทศไทยตอนนี้อยู่ในภาวะอึมครึม น่ากลัว น่ากังวลจริง ๆ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มทุนบริษัท

การเพิ่มทุนบริษัทจะส่งผลต่อการเปิดตำแหน่งงานอีกหนึ่งต่อ

‘รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย’ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เคยอธิบายไว้ว่า หากประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ ต่อให้มีเงินในกระเป๋าสตางค์แค่ 200 ประชาชนก็จะยอมใช้เงินนั้น แต่หากประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ ต่อให้มีเงินในกระเป๋า 2 ล้าน ประชาชนก็จะไม่ใช้เงินนั้น เรื่องนี้เองก็กำลังเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของกิจการอยู่เช่นกัน

ถ้าผู้ประกอบการเชื่อมั่นและเห็นทิศทางเห็นกระแสลมของเศรษฐกิจ บริษัทย่อมใส่ทุนเพิ่มเพื่อเปิดตำแหน่งงานเป็นแน่ และส่งผลให้จำนวนคนว่างงานน้อยลง ตรงกันข้ามหากผู้ประกอบการไม่มั่นใจ หรือเห็นสัญญาณบางอย่างที่กระซิบข้างหูว่ายังก่อน อย่าพึ่งใจร้อน ระมัดระวังกระแสเงินสดไว้ ก็จะทำให้บริษัทเลือกที่จะยังไม่รับคนเพิ่ม หรือรับให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นจริง ๆ

แค่เพียงมองภาวะการมีงานของประชากรไทยก็สะท้อนสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยได้ ไม่มากก็น้อย นี่ขนาดแค่ตัวชี้วัดเดียวนะ ยังมีอีกหลายตัวชี้วัดที่จะทำให้เราสะพรึงได้มากกว่านี้ ไว้ทีมงาน Reporter Journey จะนำมาเล่าสู่กันฟังในบทความต่อไป

ที่มา https://www.nso.go.th/nsoweb/nso/survey_detail/9u

เด็กหนุ่มจากราชบุรี ที่ยังคงลองผิดลองถูกเสมอมา