บางวันเราตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าโลกใบนี้มันช่างหนักหน่วงเหลือเกิน แม้ว่าทุกอย่างรอบตัวจะดำเนินไปตามปกติ แต่ข้างในกลับว่างเปล่า มันไม่สุข ไม่เศร้า ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย และก็ไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับว่า “ถ้าหายไปก็คงไม่เป็นไร” หรือ “ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็คงดี”
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “Passive Death Wish” หรือความรู้สึกที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีแผนที่จะจบชีวิตหรือทำร้ายร่างกายของตัวเอง เป็นภาวะที่คนรู้สึกหมดแรง หมดความหมาย ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกอยากลุกขึ้นมาเผชิญวันใหม่อีกต่อไป
ใช้ชีวิตไปวันๆ หรือรอวันหมดลม? Passive Death Wish ในโลกที่เร่งรีบ
ความรู้สึกนี้อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ความเครียดเรื้อรัง ความผิดหวังในชีวิต การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือภาวะซึมเศร้าโดยที่เจ้าตัวเองอาจไม่รู้ตัว มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุการณ์สะเทือนใจใหญ่โต บางครั้งมันก่อตัวขึ้นจากเรื่องเล็กๆ ที่สะสมมานาน จนสุดท้ายทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า และไม่มีเหตุผลให้ใช้ชีวิตต่อไปอีก
Passive Death Wish เป็นเรื่องที่ยากจะสังเกตได้ในสังคม เพราะคนที่เผชิญกับภาวะนี้มักยังคงใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยังคงทำงาน หัวเราะ หรือแม้แต่เข้าสังคม แต่ลึก ๆ ข้างใน พวกเขาอาจจะรู้สึกว่าอยากจะหายไปจากโลกใบนี้ หลายคนอาจดูเหมือน “ปกติ” แต่แท้จริงแล้ว พวกเขากำลังต่อสู้กับความรู้สึกที่ไม่มีใครมองเห็น
ในสังคมที่ยกย่องความสำเร็จและประสิทธิภาพ ความว่างเปล่าในจิตใจของผู้คนกลับถูกละเลย เราถูกปลูกฝังให้ต้อง “สู้” ต้อง “พยายาม” และต้อง “มีความสุข” เพื่อให้สมกับชีวิตที่ได้รับมา แต่เมื่อความพยายามทั้งหมดกลับอาจไม่สามารถเติมเต็มความหมายให้ชีวิตคนได้ คนจำนวนมากจึงติดอยู่ในวังวนของการใช้ชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ไปเพื่ออะไร
ภาพขาวดำในใจ เมื่อความว่างเปล่ากลืนกินความสุขจนหมดสิ้น
สาเหตุของ Passive Death Wish มีมากมาย บางคนเกิดจากโรคซึมเศร้า บางคนเกิดจากความบอบช้ำทางจิตใจจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก บางคนเผชิญกับสภาพสังคมที่กดดันและไม่เป็นธรรม เช่น กลุ่ม LGBTQ+ บางกลุ่มที่ต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความไม่เป็นธรรม การถูกเลือกปฏิบัติ และต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนเพื่อความอยู่รอด หลายคนต้องต่อสู้เพื่อสิทธิขั้นพื้นฐาน ต้องพยายามพิสูจน์ว่าตนเองมีค่าพอที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม และเมื่อการต่อสู้นั้นยืดเยื้อ มันอาจทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกว่า “อยู่ไปก็ไม่มีความหมาย”
Passive Death Wish มักเกี่ยวข้องกับภาวะที่เรียกว่า “Anhedonia” หรือภาวะสิ้นยินดี ซึ่งทำให้คนสูญเสียความสามารถในการรับรู้ความสุข เพลงที่เคยชอบอาจกลายเป็นเพียงเสียงรบกวน อาหารที่เคยอร่อยกลับจืดชืด และแม้แต่คนที่เคยรักก็ไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่านั้นได้อีกต่อไป มันไม่ใช่เพียงแค่ความเหนื่อยล้าหรือหมดไฟจากการทำงาน แต่เป็นภาวะที่ชีวิตจืดจางราวกับภาพขาวดำ
นอกจากนี้ ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองก็เป็นตัวเร่งให้ Passive Death Wish ก่อตัวมากขึ้น คนจำนวนมากต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในสังคมที่ค่าครองชีพพุ่งสูง แต่ค่าตอบแทนต่ำ หลายคนทำงานหนักแต่ยังไม่สามารถมีชีวิตที่มั่นคงได้ ความเครียดสะสมจากระบบที่ไม่เป็นธรรมทำให้ผู้คนรู้สึกไร้อำนาจ และเมื่อล้มลง ไม่มีเครือข่ายสังคมรองรับ พวกเขาจึงค่อย ๆ ปล่อยตัวเองให้จมหายไป
ในอีกมุมหนึ่ง Passive Death Wish อาจเกิดจากการเผชิญกับระบบที่โหดร้ายเกินไป คนทำงานที่หมดแรงกับภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง คนหนุ่มสาวที่แบกรับภาระหนี้สินและอนาคตที่ไม่แน่นอน ผู้สูงอายุที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าอีกต่อไป หรือแม้แต่เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความกดดัน คนเหล่านี้อาจไม่ได้ต้องการจากโลกนี้ไปในทันที แต่พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่า ไม่มีเหตุผลอะไรให้มีชีวิตต่อไป
กรณีของ Passive Death Wish มีให้เห็นอยู่รอบตัว แต่ไม่ค่อยถูกพูดถึง คนที่ใช้ชีวิตอยู่กับความว่างเปล่านี้มักไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ ไม่มีจดหมายลาตาย ไม่มีการเอ่ยคำลา ไม่มีการร้องขอให้ใครช่วยหยุดพวกเขา
สิ่งที่อันตรายคือ Passive Death Wish อาจกลายเป็น Active Death Wish ได้ หากปล่อยให้ความรู้สึกนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครรับรู้หรือยื่นมือเข้าช่วย ความเฉยเมยต่อชีวิตอาจพัฒนาไปสู่การลงมือทำร้ายตัวเองโดยตรง
พื้นที่ปลอดภัยในโลกที่บีบคั้น การสร้างความหวังท่ามกลางความว่างเปล่า
คำถามคือ เราจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้? เราจะช่วยเหลือคนที่กำลังจมหายไปในเงามืดของตัวเองได้อย่างไร?
สิ่งแรกที่สำคัญคือการสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้พวกเขาสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองได้โดยไม่ถูกตัดสิน คนที่รู้สึกว่างเปล่าหรือหมดหวังมักไม่ต้องการคำปลอบโยนที่ผิวเผินอย่าง “สู้ ๆ” หรือ “มันจะผ่านไปเอง” แต่ต้องการใครสักคนที่พร้อมรับฟังโดยไม่ตัดสิน พร้อมจะอยู่เคียงข้างพวกเขาโดยไม่เร่งเร้าให้พวกเขาต้อง “หายดี” ในทันที
อีกสิ่งที่สำคัญคือการสร้างระบบสนับสนุนที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นระบบสุขภาพจิตที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น นโยบายทางสังคมที่ช่วยลดแรงกดดันต่อผู้คน หรือแม้แต่การสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขามีคุณค่า ไม่ใช่เพียงแค่ตัวหมากในระบบเศรษฐกิจ
Passive Death Wish อาจเป็นสัญญาณเตือนของบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น
มันเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นว่าสังคมของเราอาจกำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้หลายคนรู้สึกหมดหวัง เราไม่ควรเพิกเฉยต่อความรู้สึกเหล่านี้ แต่ควรตั้งคำถามว่า เราจะทำให้โลกนี้เป็นที่ที่น่าอยู่สำหรับทุกคนได้อย่างไร เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครสมควรต้องอยู่กับความว่างเปล่าเพียงลำพัง