หลายปีก่อนภาพการทำงานของคนส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในสถานที่ ๆ หนึ่งที่เรียกว่าออฟฟิศ ทำงานกับโต๊ะและบรรยากาศที่ทุกคน (ต้องจำใจ) คุ้นเคย แต่พอเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ก็ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก
การกลับมาทำงานที่บ้าน 100% ทั้งข้อดีและข้อเสีย มีทั้งคนที่ประทับใจและคนที่ไม่ชอบใจ มีทั้งคนที่บอกว่าเป็นการทำให้พื้นที่ที่เป็นเหมือนที่พักผ่อน กลายเป็นที่ทำงาน เส้นแบ่งระหว่างพื้นที่ส่วนตัวและชีวิตการทำงานหายไป บางคนกลับบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะได้ทำงานในที่ ๆ ทำให้มีสมาธิ ไม่ถูกรบกวนโดยคนอื่น แต่ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ การทำงานที่บ้าน 100% เริ่มเลือนลางหายไปตามการแพร่ระบาดที่สิ้นสุดลง
ถึงแม้การทำงานที่บ้าน 100% จะหายไป แต่การทำงาน hybrid work ยังคงอยู่ คือมีทั้งวันที่เข้าออฟฟิศและวันที่ WFH สลับ ๆ กัน ซึ่งดูจะเป็นเทรนด์การทำงานในยุคนี้ ณ วันสัมภาษณ์งาน เด็กจบใหม่หลายคนมีแนวโน้มที่จะถามคนตรงหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์ว่าออฟฟิศนี้มีวัน Work From Home ไหม ? ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ดูจะสำคัญมากทีเดียว สำคัญพอที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งตัดสินใจว่าจะทำงานกับบริษัทนี้ดีไหม
แต่ตอนนี้ปี 2025 หลายบริษัททั่วโลกเริ่มจะยกเลิกมาตรการ Work From Home เรียกพนักงานกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ 5 วันเต็ม หรือถ้า extreme หน่อยคือถ้าใครไม่กลับเข้ามาก็มายื่นใบลาออกได้เลย ทำไมผู้บริหารและหลาย ๆ องค์กรถึงมีแนวโน้มที่จะอยากให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ อะไรคือปัญหาของ WFH บทความนี้จะพาไปสำรวจพร้อม ๆ กัน
.
วัฒนธรรมองค์กรไม่อาจซึมซับได้จากการทำงานที่ห้องนอน
นิตยสาร Forbes ระบุว่า ผู้นำหลายคนเชื่อว่าการทำงานแบบพบหน้ากันจะช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กร ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของคนในทีม และเพิ่มแนวโน้มการรักษาพนักงานไว้กับองค์กร
การเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ จะทำให้พนักงานซึมซับค่านิยมของบริษัท บรรทัดฐานทางสังคม และปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการระหว่างเพื่อนร่วมทีมโดยอัตโนมัติ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีทางวัฒนธรรมซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าพนักงานทำงานอยู่ที่บ้านสัปดาห์ละ 2-3 วัน
เรื่องนี้เองผู้เขียนมีความเห็นว่ารวมไปถึง ‘พลัง’ ของการทำงานด้วย ในบางช่วงการทำงานที่ออฟฟิศจะมีช่วงเวลาที่ทุกคนก้มหน้าก้มตาเปิด Focus โหมด ไปจนถึงโหมดไฟลุก ที่เรียกว่าถ้าเป็นกีฬา F1 ก็คงเป็น DRS Zone ที่ทุกคนจะปั่นงานกันอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายงานให้ทัน deadline งาน การรับรู้-รับทราบ ช่วงเวลาแบบนี้จะทำให้เข้าใจบริบท งานที่ทำ และองค์กรมากขึ้น การทำงานให้ทันตอนอยู่บ้าน-ตอนอยู่ออฟฟิศ มีความต่างกันโดยสิ้นเชิง
.
กระบวนการสำคัญไม่แพ้ผลลัพธ์
ในกรณีที่พบเห็นได้ทั่วไป ถึงแม้ว่าการทำงานที่บ้านและการทำงานที่ออฟฟิศจะให้ผลลัพธ์ออกมาเหมือน ๆ กัน แต่อาจมีกระบวนการบางอย่างที่ต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของคนที่เป็นหัวหน้า เป็นผู้จัดการที่จะต้องประเมิน performance ของพนักงาน เพราะการประเมินพนักงานคนหนึ่งจากเพียงแค่ผลลัพธ์อย่างเดียวอาจเป็นการมองข้ามหลาย ๆ องค์ประกอบ และพลาดจุดสำคัญบางประการไป
การที่พนักงานทำงานที่ออฟฟิศจะช่วยให้คนในทีมและหัวหน้า เห็นซึ่งกระบวนการที่คน ๆ หนึ่งใช้ตลอดการทำงานที่ได้รับมอบหมาย การสื่อสารระหว่างบุคคล ระหว่างทีม การตอบสนองต่อฟีดแบค การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การรับมือกับปัญหาที่ไม่คาดคิด ทักษะเหล่านี้ กระบวนการที่ ๆ หนึ่งเผชิญตลอดการทำงานสำคัญไม่แพ้ผลลัพธ์ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้จะไม่มีโอกาสเห็นได้อย่างชัดเจน หรือมีโอกาสเห็นน้อยกว่า หากพนักงานอยู่ที่บ้าน
ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทั้งส่วนตัวและองค์รวม
ลองนึกภาพพนักงานใหม่ที่เป็นเด็กจบใหม่พึ่งสำเร็จการศึกษาได้ 3 เดือนและเข้ามาอยู่ในทีม การเปลี่ยนจากนักศึกษามาสู่ชีวิตคนทำงานเป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับคนกลุ่มนี้ ตอนเรียนถ้าทำงานผิดหรือทำงานช้า ทำงานออกมาไม่ดีผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดคือโดนตัดคะแนน แต่ในโลกของการทำงานไม่เป็นเช่นนั้น
พนักงานระดับจูเนียร์จะได้ประโยชน์อย่างมากจากการเรียนรู้ผ่านเพื่อนร่วมงาน พี่ ๆ ในทีม เรียนรู้จากหัวหน้าโดยตรง ไม่ว่าจะจากการถูกเรียนสอนตรง ๆ หรือจากการครูพัก ลักจำ เรื่องนี้ยังทำให้การปรับตัวเข้าสู่โลกการทำงานเป็นไปได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้นสำหรับคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะน้อง ๆ เด็กจบใหม่ ดังนั้นถ้าน้อง ๆ เด็กจบใหม่ไปสัมภาษณ์งานแล้วบริษัทไม่ได้มีนโยบาย WFH อีกแล้ว ก็ด้วยเหตุผลประการนี้เป็นส่วนหนึ่ง
.
การยกเลิก WFH เป็นกลยุทธ์ขององค์กรเพื่อทดสอบพนักงานแบบกลายๆ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผู้นำบางคนในบางบริษัท มองว่าคำสั่งให้กลับเข้าทำงานเต็มเวลาเป็นวิธีคัดกรองพนักงานที่ขาดความมุ่งมั่นต่อองค์กร Forbes รานงานว่าผู้นำเหล่านี้เชื่อว่าพนักงานที่ใส่ใจบริษัท ใส่ใจอาชีพการงานของตนอย่างแท้จริงจะยอมปฏิบัติตาม และกลับเข้าออฟฟิศ ในขณะที่พนักงานที่ทุ่มเทน้อยกว่ามีแนวโน้มที่จะลาออก
สถาบัน McKinsey ยังรายงานเพิ่มเติมด้วยว่าการที่พนักงานคนหนึ่งที่รู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เข้มงวดมีแนวโน้มสูงที่จะลาออก ซึ่งตรงนี้เองจะเกิดกระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติและคงเหลือไว้แค่พนักงานที่มุ่งมั่นและพร้อมที่จะอยู่กับองค์กรต่อ
โลกก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่เคยซับซ้อนเท่านี้ ถ้าพนักงานอยากลาออกก็แค่หางานใหม่และลาออก หรือแม้แต่อดทนก้มหน้าทำต่อไป แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้น จู่ ๆ บ้านคนที่เคยเป็นพื้นที่สำหร้บการพักผ่อนกลับกลายเป็นพื้นที่การทำงานไปอย่างเต็มรูปแบบ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์และอีเมลที่พร้อมจะดังขึ้นทุกเวลาในทุก ๆ วันและในทุก ๆ ที่ นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งในรอบทศวรรษที่มนุษย์โลก คนวัยทำงานพร้อมเจอปัญหาตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ การกลับไปเจอปัญหาทั้งหมดทีเดียวที่ออฟฟิศและเว้นให้บ้านได้เป็นที่สำหรับพักผ่อน เป็นที่สำหรับ Safe Zone จริง ๆ อาจจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วก็ได้ (อย่าลืมที่จะปิดเสียงแจ้งเตือนตอนถึงบ้าน ถ้าทำได้)

ที่มา : Forbes


