จีนออกกฎสั่งห้ามนักบวช-พระ ในศาสนาต่าง ๆ ไลฟ์เทศนาและใช้ AI ขอรับบริจาค

แม้จีนจะผ่านช่วงเวลาของการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” เมื่อ 35 ปีก่อน ซึ่งมีการปราบปรามประชาชนครั้งใหญ่เพื่อกวาดล้างความเชื่อดั้งเดิมของจีนที่เป็นมรดกตกทอดมายาวนานมากว่า 5,000 ปี รวมไปถึงการกวาดล้างความเชื่อทางศาสนาเพื่อควบคุมศรัทธาของประชาชนให้เชื่อในตัวผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์เพียงอย่างเดียว จนเป็นเหตุให้สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมดีงามเก่าแก่ของจีนหลายอย่างต้องสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย

แม้ปัจจุบันชาวจีนมากกว่า 60% หรือกว่า 900 ล้านคน จะไม่นับถือศาสนา แต่สัดส่วนกำลังลดลง เนื่องจากผู้คนเริ่มเข้ารีตเพื่อเริ่มเป็นศาสนิกชนมากขึ้น เพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจท่ามกลางความสิ้นหวังในสังคมจากปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า ทุกวันนี้ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ประมาณ 40% พวกเขาเชื่อในเทพเจ้า บุคคลสําคัญทางศาสนา หรือภูติผี แม้ว่าจะมีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่ระบุตัวตนอย่างเป็นทางการว่าเชื่อในศาสนา แต่ความศรัทธาที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้ส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ศาสนพาณิชย์” ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4.55 แสนล้านบาทต่อปี ตั้งแต่การขายตั๋วเข้าชมศาสนสถาน และการบริจาคเงิน ไปจนถึงพิธีกรรมต่างๆ บนโลกดิจิทัล การสตรีมสด และอีคอมเมิร์ซด้านวัตถุมงคล วัดและนักบวชได้พบหลายวิธีในการทํากําไรเพื่อเข้าศาสนสถาน หรือเข้าตัวเองเพิ่มขึ้น แต่การเติบโตนี้ทําให้เกิดคําถามว่าศาสนาถูกทําให้เป็นธุรกิจมากเกินไปและหลุดออกจากรากเหง้าแท้จริงทางจิตวิญญาณหรือไม่?

กฎใหม่เพื่อควบคุมศาสนกิจออนไลน์

Financial Times รายงานว่า ฝ่ายบริหารกิจการศาสนาแห่งชาติของจีนได้เตรียมออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการปฏิบัติศาสกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วบนโลกออนไลน์ ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะวัด โบสถ์ และองค์กรทางศาสนาที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถดําเนินการเทศนาหรือฝึกปฏิบัติบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันได้

กิจกรรมเชิงพาณิชย์ออนไลน์รูปแบบอื่น ๆ เกือบทั้งหมดจะถูกห้าม รวมถึงการสตรีมพระธรรมเทศนาแบบสด การเทศนาผ่านคลิปวิดีโอสั้น ๆ หรือการเรียกเก็บเงินสําหรับพิธีกรรมดิจิทัล เช่น การเผาธูปบูชาเทพเจ้า การแก้เคล็ดแก้บน ทำนายดวงชะตาออนไลน์ และการสวดมนต์ขอพร นักบวชยังได้รับคําเตือนไม่ให้ใช้ AI เพื่อสร้างหรือเผยแพร่เนื้อหาทางศาสนา โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับ “ข้อมูลที่ผิดกฎหมาย” ของการแผ่ “ลัทธินอกรีต” เป็นเป้าหมายสำคัญ

เรื่องอื้อฉาวเส้าหลินเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา

สาเหตุหลักที่รัฐบาลจีนลุกขึ้นมาดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากวัดเส้าหลินซึ่งเป็นสถาบันทางพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงระดับโลกยืนยันว่าเจ้าอาวาส “Shi Yongxin” อยู่ระหว่างการถูกเำเนินการสอบสวนในข้อหาการยักยอกเงินและความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้นับว่าละเมิดศีลของนักบวชในพุทธศาสนา

สื่อของรัฐบาลจีนรายงานว่า สำหรับเจ้าอาวาส Shi หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “พระ CEO” และเหล่าพระลูกวัดหลายรูปถูกควบคุมตัวเพื่อสอบปากคํา สําหรับหลาย ๆ คน คดีนี้เป็นสัญลักษณ์ของวิธีที่บุคคลสําคัญทางศาสนาเปลี่ยนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นเครื่องจักรทํากําไร ซึ่งมักร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นที่หิวกระหายในการหาเงินจากการท่องเที่ยว ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาด ปักกิ่งตั้งเป้าที่จะฟื้นฟูความไว้วางใจของประชาชนในขณะที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีสถาบันใด แม้แต่สถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างเส้าหลิน อยู่เหนือวินัยของพรรค

ต้องไม่มีแรงศรัทธาใดยิ่งใหญ่เกินกว่าศรัทธาต่อผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์

จากเหตุการณ์ฉาวของวัดเส้าหลิน ได้เกิดการตื่นตัวไปทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้รีบดำเนินการตามคำสั่งของรัฐบาลกลาง โดยในมณฑลเสฉวนตะวันตก เจ้าหน้าที่ได้ประชุมกลุ่มศึกษาสําหรับสมาคมพุทธ อิสลาม และคาทอลิกเพื่ออธิบายกฎหมายใหม่ ศาสนสถานได้รับคําสั่งให้ดําเนินการ “การตรวจสอบภายใน” ขณะที่หน่วยงานรัฐบาลสัญญาว่าจะ “กําจัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น” เช่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ดําเนินการปราบปรามการต่อต้านการทุจริตในหมู่เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ รัฐต้องการป้องกันไม่ให้นักบวชสะสมความมั่งคั่งหรืออิทธิพลที่อาจจุดประกายความไม่สงบด้วยการควบคุมพื้นที่ออนไลน์ รัฐบาลปักกิ่งยังรับรองว่าการสอนศาสนายังคงอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรง

ความตึงเครียดระหว่างการค้าและศรัทธา

สําหรับพระภิกษุสงฆ์และนักบวชหลายคน ข้อจํากัดจะส่งผลทันที สถานที่อย่าง Mount Qingcheng ในมณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋า ได้ทดลองถ่ายทอดสดและให้เช่าบูชาลูกปัดอธิษฐานและวัตถุมงคลต่างๆ ผ่าน Douyin ซึ่งเป็น TikTok เวอร์ชันของจีนแล้ว สินค้าบางรายการขายในราคามากกว่า 1,400 ดอลลาร์ หรือ 44,575 บาท ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายรุ่นเยาว์

เสียงวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียลมีเดียกล่าวถึงไลฟ์วไตล์ของพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากที่เริ่มมีความมั่งคั่งทางการเงินและกลายเป็นนักท่องเที่ยวที่ร่ํารวยที่สุด เข้าพักในโรงแรมหรูและใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย แม้ว่าผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่คาดว่าวิธีแก้ปัญหาของรัฐบาลจีนจะบังคับใช้จริงจัง นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่าแคมเปญที่ผ่านมากินเวลาเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่การปฏิบัติที่ถูกห้ามจํานวนมากจะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างเงียบ ๆ

ท้ายที่สุดแล้ว การปราบปรามสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของปักกิ่งที่จะทําให้ศาสนาอยู่ใต้บังคับบัญชาของรัฐอย่างมั่นคง เอียน จอห์นสัน ผู้เขียน The Souls of China สังเกตว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่การกําจัดการเทศนาออนไลน์โดยสิ้นเชิง แต่เพื่อส่งสัญญาณว่าพรรคเป็นผู้มีอํานาจสูงสุด ศาสนาอาจเจริญรุ่งเรือง วัดอาจทํากําไรได้ และผู้คนนับล้านอาจยังคงบูชาต่อไป แต่ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้นําคอมมิวนิสต์ยอมรับได้เท่านั้น

ที่มา: Financial Times