‘รัสเซีย’ เศรษฐกิจของประเทศที่ก่อสงคราม

“เศรษฐกิจรัสเซียจะล่มสลาย”

‘สก็อตต์ เบสเซนต์’ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่าแม้สงครามรัสเซีย-ยูเครน จะยังเดินหน้าต่อ แต่ในท้ายที่สุดจากมาตรการคว่ำบาตรที่เข้มข้นจากชาติตะวันตก รวมถึงการเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียจะทำให้เศรษฐกิจรัซเซียถึงคราว ‘ล่มสลาย’

เป็นการคาดการณ์อนาคตที่สุดโต่งมาก แต่จะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าเป็นอีกเรื่อง

ผ่านมาแล้วกว่า 3 ปีที่บนโลกนี้เกิด สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน แม้ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่สถานปนาตัวเองเป็นคนกลางที่จะหยุดสงคราม แต่แนวโน้มที่สงครามจะหยุดจริง ๆ นั้นยังดูห่างไกล (เอาแค่หยุดยิงยังเป็นเรื่องที่ยากเลย) มาตรการคว่ำบาตรที่คว่ำแล้วคว่ำอีกก็ดูจะไม่ได้สะทกสะท้านรัสเซียซักเท่าไหร่

จนเกิดเป็นคำถามที่น่าสนใจ ประเทศที่ทำสงครามมาอย่างยาวนานอย่างรัสเซีย เศรษฐกิจประเทศเขาเป็นอย่างไรบ้าง ? ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ล่มสลาย’ อย่างที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ บอกหรือเปล่า

สถานการณ์เศรษฐกิจรัสเซีย

ปัจจุบัน ‘รัซเซีย’ ถูกสหภาพยุโรปใช้มาตรการคว่ำบาตรไปแล้ว 19 มาตรการ ถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรชนิดพุ่งเป้าไปที่บุคคลและนิติบุคคลราว 5,000 ราย (ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัสเซียถูกคว่ำบาตร ครั้งแรกเกิดในปี 2014) คือเป็นประเทศเดียวในโลกที่ถูกมาตรการคว่ำบาตรเยอะขนาดนี้ท่ามกลางโลกที่ supply chain เชื่อมต่อกัน ไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่งอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างแท้จริง ถ้าเป็นประเทศอื่นล่มสลายไปแล้วจริง ๆ แต่ไม่ใช่กับรัซเซีย The Economist รายงานว่า ปี 2022 เศรษฐกิจรัซเซียเผชิญภาวะถดถอยเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่ในปี 2024 เศรษฐกิจก็ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2025 GDP ของรัสเซียเติบโตเพียง 0.4% (เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว) ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีดัชนีที่บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศหดตัวมาหลายเดือน การเติบโตของกำไรจากบริษัทต่าง ๆ ก็อ่อนแอ ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ค่าจ้างแรงงานในประเทศก็หดตัวลง

เรื่องนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลปูตินยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตัวหนึ่ง ที่เคยเป็นเหมือนยาแรงออกฤทธ์กระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้วถึง 5% ของ GDP ในปี 2023 มาปีนี้มาตรการนี้ถูกปรับใหม่ให้เบาบางลงเหมือนแอลกอฮอร์ที่เจือด้วยน้ำเปล่า เช่น การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะไม่ถูกอัดฉีดอย่างก้าวกระโดด, ธนาคารกลางรัสเซียขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว

การส่งออกน้ำมันของรัสเซียก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน จากเดิมที่เคยส่งออกน้ำมันมูลค่าสูงถึง 155,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี 2022 พอมาช่วงต้นปี 2025 มูลค่าการส่งออกนี้กลับเหลือเพียง 96,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซ้ำร้ายราคาน้ำมันโลกตอนนี้ก็อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับการที่รัซเซียจะเจอต้นตุนการกู้ยืมเงินที่สูง

เหมือนแย่ แต่ไม่แย่

จากสถานการณ์เหล่านี้อาจพิจารณาได้ว่าตอนนี้รัสเซียกำลังเผชิญความท้าทายอย่างมาก การที่ สก็อตต์ เบสเซนต์ จะออกมาวิเคราะห์ว่าท้ายที่สุดเศรษฐกิจรัสเซียจะพังทลายลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

คือตอนนี้บรรดานักลงทุน ผู้ประกอบการ นักธุรกิจของรัสเซียมีท่าไม้ตายอะไร มีวิธีหลบหลีกอย่างไร ต้องงัดมาใช้ให้หมดในตอนนี้แหละ วิธีการที่ผู้เขียนหมายถึงก็เช่น การส่งออกแบบสลับเรือ, การแลกเปลี่ยนสินค้ากับคู่ค้าแทนที่จะแลกด้วยเงิน หรือแม้แต่การส่งออกสินค้าผ่านประเทศที่ไม่ได้ฝักฝ่ายใด ฯลฯ

ดู ๆ แล้วสถานการณ์แบบนี้ก็อาจจะเรียกได้ว่าวิกฤต ทว่ากลับเป็นเรี่องที่น่าแปลกเพราะว่าหากไปดูที่สถานการณ์การตลาดแรงงานในประเทศกลับพบว่าอัตราการว่างงานของคนในรัซเซียต่ำเป็นประวัติการณ์ อัตราค่าจ้างที่แท้จริง (หักลบกับค่าครองชีพ) ก็ไม่ได้แย่ ดันชีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer sentiment index) ก็ไม่ได้ตก ประชาชนยังเชื่อมั่นเศรษฐกิจตัวเอง

และถ้าเราไปดูที่ประเทศพันธมิตรปัจจุบันของรัสเซีย ประเทศหลัก ๆ ที่เป็นพันธมิตรของรัสเซียประกอบด้วย จีน อิหร่าน อินเดีย เบลารุส เกาหลีเหนือ ซีเรีย มาลี หรือแม้แต่พม่า ฯลฯ คือแค่ 3 ประเทศแรกที่ยกตัวอย่างมาก็เกื้อหนุนรัซเซียได้อย่างเต็มที่แล้ว เราอาจคิดว่ารัสเสียโดดเดี่ยวเพราะเราไม่เคยเห็นสื่อพันธมิตรของรัสเสียต่างหาก

จากข้อมูลที่ The Economist รายงาน เป็นเหมือนกระจกสะท้อนว่าเศรษฐกิจรัสเซียยังห่างไกลจากคำว่าล่มสลาย คือมีได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงอย่างมีนัยสำคัญแม้จะโดนคว่ำบาตรมากเท่าไหร่ก็ตาม ในทางกลับกัน ดันกลายเป็น ‘ยูเครน’ เสียอีกที่เผชิญภาวะตึงเครียดทางเศรษฐกิจมากกว่ารัซเซีย

ดูท่าสงครามจะยังคงดำเนินต่อไปบนความเปราะบางทางเศรษฐกิจของยูเครนที่ค่อย ๆ แตกสลายลง

อ้างอิง

The Economist
Kyiv Post
The 101.World

เด็กหนุ่มจากราชบุรี ที่ยังคงลองผิดลองถูกเสมอมา