มหาเศรษฐีจีนพันล้านหมื่นล้านไม่อยากอยู่ในประเทศ แห่ขนทรัพย์สินย้ายไปอยู่ที่อื่นในปีนี้ถึง 15,200 คน เหตุเศรษฐกิจซบเซา รัฐบาลก็เอาแน่เอานอนไม่ได้

แม้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนที่เติบโตอย่างร้อนแรงส่งผลทำให้ประชาชนสามารถขยับฐานะทางการเงินขึ้นมาเข้าขั้นเป็นผู้มั่งคั่งจำนวนไม่น้อย มหาเศรษฐีเกิดขึ้นจำนวนมาก กิจการต่างๆ ก็เฟื่องฟูถึงขีดสุด ก่อนที่จะสะดุดในช่วงเกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งต่อให้สถานการณ์โรคระบาดจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เศรษฐกิจจีนกลับไม่อาจฟื้นตัวกลับมาอยู่ในจุดเดิมได้อีกต่อไป

.

ไม่เพียงเท่านั้นยังเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาจากทั้งโครงสร้างภายในที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งสงครามการค้าที่ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น

.

ด้วยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้คนจีนที่อยู่ในระดับผู้เป็นเศรษฐีต่างเลือกที่จะอพยพย้ายถิ่นหนีออกนอกประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น

.

Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐานและขอสัญชาติ เผยแพร่รายงานฉบับล่าสุด ระบุว่าปีนี้เศรษฐีจีนและผู้มีอันจะกิน จำนวนราว 15,200 คน จะอพยพย้ายถิ่นฐานออกจากจีนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มี 13,800 คน ซึ่งซ้ำเติมผลกระทบต่อเศรษฐกิจของพญามังกร

.

ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจของจีนและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นสิ่งสําคัญที่สุดสําหรับเศรษฐีชาวจีนจํานวนมากที่เลือกเดินทางออกนอกประเทศ และจุดหมายปลายทางที่คนจีนผู้ร่ำรวยเหล่านี้เลือกย้ายไปลำดับต้นๆ คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจคู่แข่งสําคัญของจีน

.

เมื่อปีที่แล้วเศรษฐีจีนส่วนใหญ่เลือกย้ายไปยังสหรัฐอเมริกา แคนาดา และสิงคโปร์ ซึ่งระดับเศรษฐีที่หมายถึงนั้น คือบุคคลที่มีทรัพย์สินอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป

.

Andrew Amoils หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ New World Wealth ซึ่งเป็นบริษัทข่าวกรองความมั่งคั่งที่ร่วมมือกับ Henley & Partners ระบุในรายงานว่า เป็นเรื่องยากที่จะทราบว่าผู้อพยพมีความมั่งคั่งเท่าใด แต่ “จากประสบการณ์บริษัทระบุว่า ชาวจีนผู้ร่ำรวยมีการย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศบ้านเกินโดยหอเอาสินทรัพย์มาด้วยระหว่าง 30 ล้านดอลลาร์ – 1,000 ล้านดอลลาร์

.

ชาวจีนที่ร่ำรวยจํานวนมากมุ่งหน้าไปที่อื่นอาจเพิ่มความเครียดให้กับเศรษฐกิจที่เปราะบางของประเทศ วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อได้ส่งผลกระทบนักพัฒนารายใหญ่ให้ต้องล้มละลาย และทําลายความมั่งคั่งของประเทศอย่างรุนแรง ในขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นก็มีภาระหนี้สูง ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า จีนเผชิญกับ “ความไม่แน่นอนสูง” เนื่องจากวิกฤตด้านอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของจีนลงสู่ระดับติดลบในเดือนเมษายน เช่นเดียวกับ Moody’s Investors Service ที่มีการปรับลดความน่าเชื่อถือลงไปก่อนแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว

.

อันที่จริงชาวจีนผู้มั่งคั่งได้เริ่มย้ายตัวเองไปยังประเทศอื่นมาตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด แต่ก็ต้องหยุดความพยายามลงชั่วคราวในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 เพราะช่วงนั้นไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ และกลับมาอพยพอีกครั้งอย่างรวดเร็วหลังจากยกเลิกข้อจํากัดการเดินทางที่เข้มงวด

.

ที่ปรึกษาและนักวิเคราะห์ด้านการย้ายถิ่นฐานยังสังเกตเห็นการสอบถามที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากชาวจีนทั้งคนรวยและชนชั้นกลางที่ต้องการย้ายไปญี่ปุ่น วิถีชีวิตในญี่ปุ่นน่าดึงดูดใจมากด้วยสวนสาธารณะและสนามกอล์ฟที่สวยงาม และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกตามดัชนีสันติภาพโลก

.

🔵 แคนาดา สิงคโปร์ ยูเออี คือจุดหมายปลายทางที่เศรษฐีจีนเลือก

.

อีกประเทศหนึ่งที่ชาวจีนให้ความสนใจคือสิงคโปร์ ซึ่งดึงดูดชาวจีนที่ร่ำรวยมาโดยตลอด เนื่องจากอยู่ใกล้กับจีน การเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและการใช้ภาษาจีนกลาง แต่ที่ผ่านมาสิงคโปร์ได้เพิ่มการตรวจสอบความมั่งคั่งของชาวจีนอย่างเข้มงวดขึ้น โดนเมื่อเร็ว ๆ นี้สิงคโปร์ปฏิเสธการอนุญาตให้บุคคลชาวจีนสองคนจัดตั้งสํานักงานครอบครัว ซึ่งเป็นวิธีทั่วไปในการได้รับสัญชาติหลังจากเรื่องอื้อฉาวการฟอกเงิน

.

ขณะที่ภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจที่สุดสําหรับคนรวยของโลกด้วยภาษีเงินได้เป็น 0 ไลฟ์สไตล์ที่หรูหราและ “วีซ่าทองคํา” สําหรับนักลงทุน บริษัทที่ย้ายถิ่นฐานการลงทุนมาที่นี่

.

สําหรับสถานที่อื่น ๆ ที่เห็นการไหลออกของคนรวยคือ ฮ่องกงซึ่งได้สูญเสียบุคคลที่มีรายได้สูงประมาณ 500 คนในปีที่แล้ว ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเสรีภาพ ในขณะที่ทางการปราบปรามผู้เห็นต่าง Henley and Partners ไม่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มมากนักในปีนี้

.

แม้แต่สหราชอาณาจักรคาดว่าจะมีการย้ายออกของคนรวยมากเป็นอันดับสองในปีนี้รองจากจีนที่ 9,500 คน

.

รวมทั้งเกาหลีใต้คาดว่าจะมีการไหลออกสุทธิ 1,200 คน ในขณะที่ไต้หวันคาดว่าจะสูญเสีย 400 คนเช่นกัน

.

ฮันนาห์ ไวท์ ซีอีโอของสถาบันวิจัยเพื่อรัฐบาลในลอนดอน และผู้ให้การวิเคราะห์รายงานฉบับนี้ ส่วนหนึ่งระบุว่า กระแสเหล่านี้มาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน และศักยภาพในการดํารงตําแหน่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยที่สอง การแสดงท่าทีของของเขาทําให้เกิดความกังวลว่าฝ่ายบริหารของทรัมป์ อาจมีโอกาสน้อยที่จะปกป้องไต้หวันในวิกฤตทางทหารกับจีน หรือสนับสนุนเกาหลีใต้ในกรณีฉุกเฉินกับเกาหลีเหนือ

.

Dominic Volek หัวหน้ากลุ่มลูกค้าส่วนตัวของ Henley &Partners กล่าวว่าเศรษฐี 128,000 คนคาดว่าจะย้ายถิ่นฐานทั่วโลกในปี 2024 ซึ่งเป็นสถิติการย้ายถิ่นฐานของผู้มั่งคั่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์