เศรษฐกิจไทยปี 2567 กำลังอยู่บนความไม่แน่นอน การลงทุนภาครัฐและเอกชนหดตัว กำลังซื้ออ่อนแอ ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจไม่โตที่ 2.6% ก็อาจลงไปที่ 2.2% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมาตรการและนโยบายของรัฐที่จะแถลงในเดือนนี้ ประกอบกับร่างงบประมาณที่อาจล่าช้า
ไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2567 เศรษฐกิจไทยโต 2.3% ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่เคยทำได้ 1.5%
และตอนนี้เหลืออีกครึ่งปี เศรษฐกิจไทยจะมีทิศทางอย่างไรต่อ ?
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกมาคาดการณ์ทิศทางต่อจากนี้ภายใต้ 2 สมมุติฐาน ได้แก่
- เศรษฐกิจไทยปีนี้โตที่ 2.6% ซึ่งเป็น ‘กรณีฐาน’ หรือ
- เศรษฐกิจไทยปีนี้โตต่ำกว่า 2.6% โดยมีกรอบล่างที่ 2.2% ซึ่งเป็น ‘กรณีแย่’
โดยแต่ละกรณีมีองค์ประกอบที่แตกต่างกันดังนี้
สมมุติฐานที่ 1 ถ้าเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.6% ต้องประกอบไปด้วย 2 องค์ประกอบ
องค์ประกอบที่ 1) ถ้าภาครัฐมีการขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปี ภายใต้มาตรการกระตุ้นที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับนโยบายเรือธง ‘ดิจิทัลวอลเลต’ ซึ่งภายในเดือนกันยายนนี้รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ‘นางสาวแพทองธาร ชินวัตร’ จะมีการแถลงนโยบายรัฐบาล ทำให้องค์ประกอบนี้จะชัดเจนมากขึ้นในเร็ว ๆ นี้
องค์ประกอบที่ 2) ถ้าภาครัฐสามารถผ่าน พรบ.งบประมาณปี 2568 และสามารถบังคับใช้ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นี้ ซึ่งการดำเนินการจัดทำร่าง พรบ. ปี 2568 จะเกิดขึ้นภายหลังรัฐบาลแถลงนโยบายรัฐบาล
ถ้ามีทั้ง 2 องค์ประกอบจะสามารถประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 โตที่ 2.6% ได้
สมมุติฐานที่ 2 ถ้าเศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่า 2.6% โดยมีกรอบล่างที่ 2.2% ต้องประกอบไปด้วย 2 องค์ประกอบ เช่นกัน
องค์ประกอบที่ 1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐล่าช้า ประกอบกับการไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาทดแทนในช่วงไตรมาสมี่ 4 ของปี โดยหนึ่งในนโยบายสำคัญคือดิจิทัลวอลเล็ตนั่นเอง โดยทางเลือกของดิจิทัลวอลเล็ตจะมีตั้งแต่ #ดำเนินโครงการต่อด้วยการคงวงเงินเดิม#ดำเนินโครงการต่อลดวงเงินเดิม#ยกเลิกโครงการแทนที่ด้วยมาตรการอื่น ซึ่ง 3 ทางเลือกที่กล่าวมา SCB EIC ประเมินว่าล้วนก่อให้เกิดการ Upside การลงทุนของรัฐ ไม่มากก็น้อย ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่หาก ดิจิทัลวอลเลตถูกยกเลิกไปเลย อาจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจได้
ซึ่งเมื่อมองดูทิศทางของรัฐบาล โครงการเรือธงนี้อาจอยู่ในทิศทาง #ดำเนินโครงการต่อด้วยการคงวงเงินเดิม หรือ #ดำเนินโครงการต่อลดวงเงินเดิม ทำให้ตอนนี้ต้องจับตาการแถลงนโยบายรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนนี้อย่างใกล้ชิด
องค์ประกอบที่ 2) ถ้าพรบ.งบประมาณปี 2568 ออกมาล่าช้าไปมากกว่า 1 เดือน จะส่งผลต่อการนำงบประมาณไปดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เพียงเท่านั้นยังส่งผลต่อการนำงบประมาณไปลงทุนของภาครัฐด้วยซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยอาศัยการลงมทุนของภาคเอกชนและกำลังซื้อของภาคเอกชนเป็นหลักในการเติบโต ทว่าจากรายงานของ SCB EIC พบว่าในไตรมาสที่ 2 นี้ การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มลดตัวอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่สภาพัฒน์ประกาศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา นั่นทำให้ถ้าไม่มีการลงทุนของภาครัฐมาทดแทน จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2567 หดตัวลง
กล่าวได้ว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยในในช่วงครึ่งปีหลังอยู่บนความไม่แน่นอน โดยขึ้นอยู่กับมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐ และ ร่าง พรบ.งบประมาณปี 2568 ซึ่งการคาดการณ์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของ SCB EIC ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 อาจโตที่ 2.5% แต่เรื่องน่ากังวลเพิ่มเติมที่ SCB EIC นำเสนอคือประเด็นของ ‘การบริโภคภาคเอกชนที่แผ่วลงอย่างมาก’ ซึ่งเป็นผลมาจากความเปราะบางของภาคครัวเรือน และภาระหนี้ที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น โดยเรื่องนี้ทีม Reporter Journey จะนำมาเล่าให้ฟังกันในบทความต่อไป
ในเดือนกันยายนนี้ต้องจับตานโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิขของรัฐบาล นโยบายดิจิทัลวอลเลต และร่างงบประมาณอย่างใกล้ชิด
อ้างอิง: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย