SUMMARY : GDP ไทยไตรมาส 3/2567 ยังโตต่ำสุดในอาเซียนแค่ 3% คาดทั้งปีโตแค่ 2.6% ขณะที่ประเทศที่พัฒนาสูงกว่าคนน้อยกว่าอย่างมาเลเซียโต 5.3%, สิงคโปร์โต 4.1% ส่วนประเทศที่พัฒนาตามมาแถมคนเยอะเป็นหลักร้อยล้านคนอย่าง เวียดนามโต 7.4% ฟิลิปปินส์ 5.2% อินโดนีเซีย 4.95%…แล้วเราจะอ้างอะไรอีก ?
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และแนวโน้มปี 2567 – 2568 ว่า ในไตรมาสที่ 3/2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของไทย ขยายตัว 3% เร่งตัวขึ้นจาก 2.2% ในไตรมาสก่อนหน้า รวม 9 เดือนแรกของปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.3%
โดยปัจจัยหลักมาจากการผลิตภาคนอกเกษตรที่ขยายตัวเร่งขึ้นตามการขยายตัวของกลุ่มบริการ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตชะลอตัวและภาคการเกษตรปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและบริการ การอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล และการลงทุนเร่งขึ้น ขณะที่การอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนชะลอตัว
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนด้วยกันทั้งในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่หัวแถวของภูมิภาค และกลุ่มประเทศพัฒนาต่ำ GDP ไทยนับว่าโตเกือบต่ำที่สุดในภูมิภาค มีเพียงเมียนมาที่เศรษฐกิจโตต่ำกว่าไทย เนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายในที่ไม่สงบ
รายงาน GDP 3/2567 ของชาติอาเซียนได้เปิดเผยออกมาแล้วดังนี้
เวียดนาม : 7.4%
กัมพูชา : 5.6%
มาเลเซีย : 5.3%
ฟิลิปปินส์ : 5.2%
อินโดนีเซีย : 4.95%
สิงคโปร์ : 4.1%
สำหรับตัวเลขทางเศรฐกิจที่มีผลต่อ GDP ไทยไตรมาส 3/2567 คือ
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.4%
การใช้จ่ายในภาคบริการขยายตัว 6.5%
การก่อสร้างขยายตัว 15.5%
การส่งออกสินค้า และบริการขยายตัว 10.5%
การนำเข้าสินค้า และบริการขยายตัว 9.6%
การเกษตร ลดลง 0.5%
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว รายได้ในปี 2567 คาดว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท และเพิ่มขึ้นในปีต่อไป
อย่างไรก็ตามสศช. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ 2.6% ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวได้ 1.9% และในปี 2568 จะขยายตัวได้ ในกรอบ 2.3 – 3.3% โดยมีค่ากลางที่ 2.8% โดยในปีหน้าจะมีแรงหนุนจากการลงทุนในเรื่องของเซมิคอนดักเตอร์ แต่ต้องมีการระวังปัจจัยนโยบายที่ไม่แน่นอนจากการเข้ามาของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องเฝ้าระวังความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั้งต่อเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย